ค้าปลีกทั่วโลกซึม! อินเดีย กำลังผงาดสู่อุตสาหกรรมค้าปลีกที่ใหญ่สุดของโลก

ในขณะที่ ธุรกิจค้าปลีก แบบดั้งเดิม รวมถึงห้างสรรพสินค้าจากทั่วโลก กำลังได้รับผลกระทบจากตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมจากผู้บริโภค

แต่เชื่อหรือไม่ว่า “อินเดีย” กำลังวางเป้าหมายก้าวไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของโลก และมีแนวโน้มว่าอินเดียจะกลายเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดของโลกด้วยเช่นเดียวกัน เรื่องนี้เป็นอย่างไร วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะหาข้อมูลมานำเสนอให้ทราบ

t2

ภาพจาก goo.gl/images/b4Kbxq , goo.gl/images/vpdio8

จะว่าไปแล้ว กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดค้าปลีกของอินเดีย ไม่ได้มีการขยับเขยื้อนไปไหนเลย เป็นตลาดที่มีมูลค่าน้อยที่สุดในอินเดียก็ว่า แต่ในวันนี้ตลาดค้าปลีกอินเดีย เติบโตเร็วที่สุด เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานในอุตสาหกรรมค้าปลีกในอินเดียเพิ่มขึ้นกว่า 8% ของตลาดการจ้างงานรวมทั้งหมด

ที่สำคัญผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมค้าปลีกอินเดีย มีการประเมินตลาดค้าปลีกอินเดียปี 2020 จะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจัยที่ทำให้ค้าปลีกอินเดียโต อาจจะมาจากจำนวนประชากรอินเดียจะแซงหน้าจีน ปัจจุบันประชากรอินเดียฐานะปานกลางที่มีกำลังซื้อมีจำนวน 400 ล้านคน ที่สำคัญพฤติกรรมผู้บริโภคชาวอินเดียที่ไม่เหมือนชาติไหน

t3

ภาพจาก goo.gl/images/unxNJv

ได้แก่ รสนิยมของผู้บริโภคอินเดียในการออกไปจับจ่ายใช้สอย หรือชอบซื้อสินค้าตามร้านค้าปลีกดั้งเดิม ห้างสรรพสินค้า มากกว่าการซื้อสินค้าทางออนไลน์ เพราะคนอินเดียมองว่าการซื้อสินค้าตามร้านค้าจะได้เห็น ได้สัมผัสกับสินค้าโดยตรง ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนหลอก ที่สำคัญรัฐบาลอินเดียเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น

การปรับเปลี่ยนกฎของรัฐบาลที่เอื้อต่อการเปิดเสรีค้าปลีก ลักษณะประชากรอินเดียจำนวนมากอยู่ในวัยทำงาน วัยหาเงิน วัยใช้จ่าย ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ความคิดของผู้บริโภคเปลี่ยนไป เช่น นิยมสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงจากการได้รับข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต และมีโอกาสท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น และกระแสอี-คอมเมิร์ซบูม ผู้บริโภคจึงนิยมซื้อสินค้าออนไลน์

t4

ภาพจาก goo.gl/qz67ib

สำหรับสภาพตลาดค้าปลีกในอินเดียปัจจุบัน 92% เป็นค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือที่อินเดียเรียก “kirana” ซึ่งก็คือร้านโชว์ห่วยแบบบ้านๆ นั่นเอง ที่เหลือ 8% เป็นโมเดิร์นเทรดหรือค้าปลีกแบบใหม่ จึงนับว่าโอกาสทางธุรกิจค้าปลีกจึงยังสูงมาก ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดเสรีค้าปลีกในปี 2554 รัฐบาลกำหนดให้บริษัทต่างชาติสามารถค้าปลีกประเภท single brand เท่านั้น

โดยสามารถถือหุ้นได้ 50% ส่วนค้าปลีกแบบ multi brand ยังไม่อนุญาตเพราะรัฐบาลต้องการปกป้องธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น แต่ปัจจุบันมีการผ่อนปรนกฎมากขึ้น โดยบริษัทต่างชาติสามารถถือหุ้น 100% ในธุรกิจค้าปลีกแบบ single brand และ 51% สำหรับ multi brand และมีเงื่อนไขพ่วง คือต้องมีเงินลงทุนอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

วางจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นในร้าน 30% และ 50% ของการลงทุนทั้งหมด ต้องใช้ลงทุนในด้าน backend infrastructure คาดว่าธุรกิจโมเดิร์นเทรดในอินเดียจะขยับจาก 8% มาอยู่ที่ 20% ในปี 2020

สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซอินเดีย โอกาสเป็นไปได้สูงเนื่องจาก Flipkart เว็บอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 ซึ่งเปรียบประมาณ Amazon แห่งอินเดียมีแนวโน้มจะทำ cross-border e-commerce หรือการนำเข้าส่งออกสินค้าจากประเทศต่างๆ ที่มีการซื้อขายทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของ B2B และ B2C

tt6

ภาพจาก goo.gl/images/Mku2V4

ทั้งนี้ Flipkart ได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้เก็บข้อมูลว่า ผู้บริโภคอินดียต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไหน มีการเสิร์ชหาสินค้าประเภทไหนมากที่สุด จากนั้น Flipkart จะติดต่อกับซัพพลายเออร์ประเทศนั้นโดยตรง เพื่อเปิดโอกาสให้นำสินค้าไปเสนอในตลาดอินเดีย ซึ่งแน่นอนว่าสินค้าไทยย่อมมีโอกาสอยู่แล้ว

ต่อไปต้องจับมองว่า อินเดียจะก้าวไปสู่อุตสาหกรรมค้าปลีกของโลกได้หรือไม่ จากจำนวนประชากรที่คาดว่าจะมีมากกว่าจีนในอนาคต แม้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะรุกเจาะตลาดอินเดียในตอนนี้ แต่ผู้บริโภคชาวอินเดียยังนิยมซื้อของตามร้านค้าดั้งเดิม


คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

01

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://goo.gl/LbjNtn
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน https://goo.gl/sffJcD

อ้างอิงข้อมูล

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3A31UGt

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช