3 เทคโนโลยี ช่วยเลือกทำเลที่ตั้งร้านขั้นเทพ!

การหาทำเลที่ดีในการเปิดร้านมีหลายทฤษฏีให้เราศึกษา โดยหลักการแล้วทำเลการตั้งร้านมี 2 แบบคือStand Alone กับ Generator โดย Stand Alone เป็นลักษณะที่ตั้งริมทาง บ้าน ตึกแถว หรือสิ่งปลูกสร้างเดี่ยว ๆ

ส่วนทำเลแบบ Generator เช่น โรงแรม ไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงพยาบาล ช็อปปิ้งพลาซ่า ซึ่งทั้ง 2 ทำเลนี้ต่างก็มีจุดดีและจุดอ่อนในตัวเองผสมอยู่ การจะเลือกว่าธุรกิจเราควรไปอยู่ในทำเลแบบไหนก็ต้องดูว่าเราดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอะไร

แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้น www.ThaiSMEsCenter.com อยากให้ทุกคนได้ลองวิเคราะห์ทำเลเหล่านั้นด้วยการผสมผสานใช้เทคโนโลยีหรือกระบวนการสำคัญที่มีด้วยกัน 3 อย่างเพื่อจะได้แน่ใจในระดับหนึ่งว่าทำเลดังกล่าวเหมาะสมกับธุรกิจของเราจริงๆ

1.เทคโนโลยีเกี่ยวกับแผนที่

3 เทคโนโลยี

ภาพจาก goo.gl/fZ1wPd , goo.gl/1jUJiX

ปัจจุบันเราต้องศึกษาเชิงลึกถึงพื้นที่ที่เราจะเปิดร้าน ลำพังการประมาณการตามความรู้สึกไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลได้ดีพอ ยุคนี้เรามีแอพพลิเคชั่นมากมายที่เกี่ยวกับแผนที่หรือแม้แต่ซอร์ฟแวร์หลายอย่างก็สามารถวิเคราะห์ถึงลักษณะพื้นที่

โดยสิ่งที่เราต้องดูละเอียดคือพื้นที่นั้นมีคนกลุ่มไหนอาศัยอยู่มากที่สุด ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราหรือไม่ รวมถึงวิเคราะห์ถึงร้านคู่แข่งที่อยู่โดยรอบ เส้นทางการจราจร ความยากง่ายในการเข้าถึงร้านค้า

รวมถึงแผนงานการสร้างหรือปรับปรุงพื้นที่ในอนาคต ทุกสิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งเรามีข้อมูลละเอียดมาก เราก็ได้เปรียบมาก โอกาสที่ทำเลนั้นจะกลายเป็นทำเลทองก็ไม่ใช่เรื่องยาก

2.วิเคราะห์พื้นที่Retail Zone

kk3

สังเกตได้ว่าทำเลทองที่น่าสนใจคือพื้นที่ซึ่งอยู่ระหว่างห้างสรรพสินค้า ซึ่งกลยุทธ์ของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จะมีการเปิดสาขาในรอบเมืองเพื่อดึงคนที่อยู่รอบนอกกรุงเทพฯได้มากขึ้น โดยแต่ละสาขามักจะมีระยะห่างไม่ต่ำกว่า 10 กิโลเมตร

ซึ่งช่องว่างนี้คือ Retail Zone ที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้เพราะช่องว่างระยะห่างนี้ ก็จะเกิด Hyper Mart เช่น บิ๊กซี, โลตัส ขึ้นระหว่างกลาง และ Hyper Mart ก็จะถูกแทรกด้วย Retailเล็กๆ อย่าง 7-11, Family Mart และคอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงร้านค้าต่างๆ ถ้าหากเราไม่ชำนาญเกี่ยวกับการวิเคราะห์แผนที่ ให้ลองใช้ประโยชน์จาก Retail Zone นี้ได้

3. Geographic Information System หรือ GIS

kk7

ภาพจาก goo.gl/FMtYa3

เป็นระบบข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ เริ่มจากการมีแผนที่ความละเอียดสูงเป็นพื้นฐาน และนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องวางลงไปบนแผนที่เพื่อโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลและตำแหน่ง

นำไปสู่การขยายผลทางข้อมูลทำให้สามารถเห็นข้อมูลได้แบบ Real Time ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการเลือกทำเลขยายธุรกิจ การบริหารต้นทุนการขนส่ง โดยวิเคราะห์จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประชากร คู่แข่ง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โดยตัวอย่างของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีนี้อย่างได้ผลเช่น บริษัท U.S. Cellular ผู้ให้บริการระบบไร้สายครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประยุกต์ใช้หลักการเลือกสถานที่ตั้งร้านค้าปลีกตามรูปแบบการจับจ่ายของผู้บริโภค คู่แข่ง และข้อมูลทางการตลาด โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยในการวิเคราะห์หาพื้นที่ที่บริษัทจะได้เปรียบคู่แข่งและมีโอกาสทำยอดขายได้สูงสุด

หรือบริษัท Planet Fitness of Maryland ซึ่งเริ่มการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งและฐานที่อยู่ของสมาชิกประจำ โดยให้รหัสสีที่อยู่ของสมาชิกฟิตเนสตามลำดับการเข้าร่วม ทำให้เห็นรูปแบบทางภูมิศาสตร์ที่แสดงโอกาสทางการตลาดของบริษัทในการขยายธุรกิจไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรองรับการขยายตัวของสมาชิก ถือเป็นการยืนยันประโยชน์จากการใช้ข้อมูลเชิงลึกจาก GIS

ปัจจุบันไม่ว่าจะทำธุรกิจแบบไหนอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการผสมผสานใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งเป็นการก้าวทันโลกยุคใหม่ และเพื่อให้การทำธุรกิจมีความถูกต้องและแม่นยำได้มากขึ้น ส่วนที่เหลือคือฝีมือในการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งหากรู้จักผนวกทั้ง 2 เรื่องด้วยกันอย่างได้ผล ก็ลดควาเสี่ยงในการทำธุรกิจได้มากโอกาสสร้างกำไรก็เร็วขึ้นด้วย


SMEs Tips

  1. เทคโนโลยีเกี่ยวกับแผนที่
  2. วิเคราะห์พื้นที่Retail Zone
  3. Geographic Information System หรือ GIS

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด