5 เรื่องที่ควรรู้! ก่อนคิดเปิดร้าน “กาแฟสด”

ไม่ว่าจะยุคไหนถ้าพูดถึงธุรกิจยอดฮิตต้องมีชื่อของ “ร้านกาแฟ” รวมอยู่ด้วย นี่คือธุรกิจที่คนสนใจลงทุนอย่างมาก เข้าตำราคนยิ่งดื่ม ธุรกิจยิ่งโต มูลค่าการตลาดรวมกว่า 60,000 ล้านบาท (รวมตลาดกาแฟสำเร็จรูป) ซึ่งหากแยกย่อยจะพบว่าตลาดกาแฟนอกบ้าน

หรือบรรดาธุรกิจร้านกาแฟต่างๆมีมูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าร้านกาแฟในยุคนี้เน้นจัดร้านให้มีความพิเศษใช้กลยุทธ์ด้วยบรรยากาศของร้านที่สวยงาม มีเมนูซิกเนเจอร์ดึงดูดผู้บริโภคให้มาใช้บริการ แต่ใช่ว่าคิดจะเปิดร้าน “กาแฟสด” แล้วจะรวยได้ทันที www.ThaiSMEsCenter.com มีเคล็ดลับดีๆมาแนะนำให้คนที่อยากเปิดร้านกาแฟควรรู้ไว้จะได้คืนทุนไว กำไรเร็วมากขึ้น

1.อย่าคิดเปิดร้านแบบ “เท่ห์ๆ”

กาแฟสด

บางคนมองว่าเปิดร้านกาแฟเป็นเรื่องง่าย แค่เปิดร้านมีกาแฟขาย เดี๋ยวก็มีลูกค้ามาเอง ความคิดแบบผิดๆ นี้พาให้เราจมสู่หายนะได้ การเปิดร้านกาแฟที่ดูว่าง่ายแต่ความจริงต้องมีการวางแผน เตรียมการ หาข้อมูลด้านการตลาดเป็นอย่างดี เริ่มต้นเราต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าแบบไหน โดยส่วนใหญ่ร้านกาแฟมี 3 ประเภทคือ

  1. ร้านกาแฟแบบเคาน์เตอร์เล็กๆ เริ่มต้นที่หลักหมื่น มักตั้งอยู่ใกล้ อาคารสำนักงาน รถไฟฟ้า สถานศึกษา
  2. ร้านกาแฟแบบมุมกาแฟ เริ่มต้นที่หลักแสน ลักษณะคล้ายเคาน์เตอร์บาร์ อาจมีโต๊ะเล็กๆ เพื่อให้ลูกค้านั่งรอกาแฟ มักจะอยู่ภายในห้างสรรพสินค้าหรือ Community Mall
  3. ร้านกาแฟแบบ Stand Alone ร้านแบบนี้ลงทุนค่อนข้างสูง ตั้งแต่หลายแสนบาทไปจนถึงหลักล้าน ลักษณะเป็นร้านเดี่ยวๆดัดแปลงจากที่พักอาศัย อาคารพานิชย์

2.ตัดสินใจให้ดีว่าจะเลือกแบบแฟรนไชส์หรือไม่แฟรนไชส์ดี

4

ข้อดีของการลงทุนเอง คือ เราได้รูปแบบร้านตามที่ต้องการ สามารถดีไซน์ทุกอย่างได้แบบที่เราชอบ ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์ มีความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง ส่วนใหญ่หากมีเงินทุนมากพอ มีประสบการณ์มาบ้าง การลงทุนด้วยตัวเองก็เป็นทางเลือกที่ดี

แต่ข้อดีของการซื้อแฟรนไชส์ก็มีที่น่าสนใจเช่น เราไม่ต้องมาเริ่มต้นจากศูนย์ แฟรนไชส์วางระบบบริหารจัดการ สินค้า วัตถุดิบให้เราเริ่มเปิดร้านได้เลย แถมยังส่งเสริมเรื่องการตลาด การพัฒนาสินค้าใหม่ และบางแบรนด์เป็นที่รู้จักในตลาดอย่างดี เราสามารถต่อยอดขายได้กำไรง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีแฟรนไชส์กาแฟที่น่าสนใจหลายแบรนด์รวมถึงบางทีไม่ใช่แบรนด์กาแฟโดยตรงแต่เป็นแฟรนไชส์เครื่องดื่มที่มีเมนูกาแฟรวมอยู่ด้วยก็ถือว่าน่าสนใจลงทุนเช่นกัน

3.เครื่องชงกาแฟ หัวใจสำคัญของการเปิดร้านกาแฟ

3

บางคนเลือกใช้เครื่องที่ไม่เหมาะสมกับร้าน ก็ทำให้ทุนหายกำไรหดได้ เช่นหากเป็นร้านขนาดเล็กรองรับลูกค้าวันละไม่เกิน100 แก้ว ควรเลือกใช้เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก 1 หัวชง เพราะลูกค้าที่เดินผ่านก็จะเห็นว่าราคาไม่น่าจะแพงจะตัดสินใจเดินเข้าร้านง่ายขึ้น แต่หากเป็นร้านกาแฟที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งรองรับลูกค้าได้มาก สามารถรับลูกค้าได้วันละ150แก้วขึ้นไป ควรเลือกใช้เครื่องชงกาแฟ 2 หัวชงเพื่อรองรับการใช้งานจำนวนมาก เป็นต้น

ซึ่งราคาเครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 30,000 – 60,000 บาท , ขนาดกลางราคาเริ่มต้นที่ 50,000 – 80,000 บาท และขนาดใหญ่ ราคาเริ่มต้นที่ 100,000 – 300,000 บาท ยังไม่รวมอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับเปิดร้าน และวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องดื่มต่างๆ งบประมาณลงทุนโดยรวมมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน ทำเล และการตกแต่งเป็นสำคัญ

4.เข้าใจคำว่า “ระยะเวลาคืนทุน”

2

แม้การเปิดร้านกาแฟจะดีแสนดี และมีลูกค้ามาก แต่ก็ใช่ว่าเราจะคืนทุนได้เลยทันที ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราลงทุนไปเท่าไหร่ โอกาสในการขายของเราเป็นอย่างไร ถ้าอยากรวยด้วยร้านกาแฟเราต้องคำนวณส่วนนี้ให้ได้โดยแนวทางคำนวณเบื้องต้นเช่น

ลงทุนเปิดร้าน 400,000 บาท (รวมทุกอย่างหมดแล้ว) ขายกาแฟแก้วละ 40 บาท ถ้าคิดว่าต่อวันเราขายได้ 100 แก้ว รายได้ต่อเดือนคือ (40×100) x30 = 120,000 บาท หักต้นทุนต่อแก้วเฉลี่ย 12 บาท ต้นทุนต่อเดือนประมาณ (12×100) x30 = 36,000 บาท เราจึงมีรายได้ก่อนหักค่าดำเนินการอื่นๆ อยู่ที่ 120,000 – 36,000 บาท = 84,000 บาท

ซึ่งค่าดำเนินการก็เช่น ค่าเช่าพื้นที่ , ค่าจ้างพนักงาน , ค่าน้ำค่าไฟ , จิปาถะต่างๆ หากคิดเบ็ดเสร็จหักหมดทุกอย่างเหลือกำไรต่อเดือนจริงๆ ประมาณ 20,000 บาท ก็เท่ากับว่าใช้ระยะเวลาในการคืนทุนประมาณ 14 เดือนเป็นอย่างน้อย

5.ร้านกาแฟยุคใหม่ “แข่งกันที่การตลาด”

1

ใครๆ ก็เปิดร้านกาแฟ ลูกค้ามีตัวเลือกมาก จะทำอย่างไรให้ลูกค้าต้องเจาะจงมาซื้อกาแฟกับร้านของเรา คำตอบก็อยู่ที่เรื่อง “การตลาด” ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ , การทำโปรโมชั่นต่างๆ , การเพิ่มช่องทางเดลิเวอรี่ , การจัดกิจกรรมพิเศษส่งเสริมการขายต่างๆ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญ เพราะต่อให้กาแฟเราอร่อย บรรยากาศร้านเราดี แต่เราโฆษณาไม่เป็น คนที่เขาทำการตลาดเก่งกว่าเขาก็จะเด่นกว่า และคนจะรู้จักมากกว่า หากคิดจะเปิดร้านกาแฟให้รุ่งและรวย ต้องฉลาดเรื่องการตลาดมากๆ

อย่างไรก็ดีการลงทุนร้านกาแฟในปี 2565 ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่อง “รายได้ของประชาชน” ที่ลดน้อยลง คนส่วนใหญ่มองหาสินค้าราคาประหยัด ดังนั้นในฐานะคนเปิดร้านก็ต้องโฟกัสให้ชัดเจนไปเลยว่าเราเจาะตลาดกลุ่มไหน กาแฟราคาแพงหรือเจาะตลาดขนาดกลางกาแฟราคาหลักสิบ (40-60 บาท) หรือจะเลือกเปิดร้านกาแฟแบบราคาถูก (ราคา 20-25 บาท)

ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเงินทุนและวิสัยทัศน์ที่เรามองเห็น โดยร้านกาแฟสดทั่วไปต้นทุนกาแฟเย็น 1 แก้วขนาด 22 ออนซ์ ต้นทุนประมาณ 18.19 บาท หากตั้งราคาขายต่ำกว่านี้ก็ไม่กำไร ก็ต้องตั้งราคาที่เหมาะสมคิดรวมกับค่าเช่าพื้นที่และปัจจัยอื่นๆ ราคาเฉลี่ยจึงอยู่ที่ 40-50 บาท


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3SjVStZ , https://bit.ly/377UYu2 , https://bit.ly/33qrhmE

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3K0Rqga

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด