กาแฟถัง อินเทรนด์เครื่องดื่มยุคใหม่! ใหญ่ขึ้น กำไรมากขึ้น

การพัฒนาสินค้า ให้ก้าวล้ำอยู่เสมอเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการตลาดที่ทำให้ธุรกิจหลีกหนีจากความจำเจ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังทำให้ลูกค้าทั้งหลายรู้สึกถึงสินค้าใหม่ๆทั้งที่ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก อาจเป็นแค่การเพิ่มลูกเล่นนิดหน่อยแต่ก็ดันยอดขายได้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

www.ThaiSMEsCenter.com มองเห็นถึงพัฒนาการอย่างหนึ่งในแวดวงของเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ ซึ่งสินค้าประเภทนี้มีอยู่ทั่วไปมากมายทั้งขึ้นห้าง ริมทาง รูปแบบแฟรนไชส์ หรือว่าเปิดร้านขายกันเอง

การพัฒนาสินค้า

ภาพจาก goo.gl/MOK5TO

แต่ความน่าสนใจที่เห็นชัดเจนคือความไม่หยุดนิ่งมีลูกเล่นใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ จนวันนี้อินเทรนด์ล่าสุดเป็นกระแสฮอตฮิตที่เปลี่ยนแพคเกจให้มีกำไรมากขึ้นเรียกรวมๆว่า “กาแฟถัง” ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากันแทบทุกคนเลยทีเดียว

พัฒนาการของเครื่องดื่มชา กาแฟ เหล่านี้เปิดตัวจาก กาแฟแก้วธรรมดาจากนั้นก็เริ่มเป็นกาแฟแก้วใหญ่ที่ปริมาตรมากกว่าทำให้ลูกค้าบริโภคได้อย่างจุใจมากขึ้นเท่านั้นยังไม่พอวิวัฒนาการต่อมาคือเปลี่ยนแพคเกจเป็น “กาแฟถุงกระดาษ” ที่มีข้อดีสำคัญคือสามารถเก็บความเย็นไว้ได้นานยิ่งขึ้น

จนมาถึงเทรนด์ฮิตล่าสุดที่เราเห็นได้จากงานเปิดตัวสินค้าต่าง ๆตลอดจนร้านค้าแถวบ้านก็เริ่มมีวางขายกันแล้วกับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ล่าสุดคือ “กาแฟถัง” ซึ่งก็เป็นการเรียกรวมๆเท่านั้นเพราะไม่ว่าจะ ชานม ชาเขียว โกโก้ ฯลฯ เมื่ออยู่ในภาชนะแบบถังก็ทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างน่าสนใจมาก

รูปแบบของกาแฟถังพัฒนามาเพื่อการตลาดโดยเฉพาะ

cc24

ภาพจาก goo.gl/K5mWA9

เป็นพัฒนาการที่พัฒนาจากกาแฟแก้วใหญ่ (32 ออนซ์) และกาแฟถุงกระดาษที่สามารถเก็บความเย็นได้ดี มาเป็น “กาแฟถัง” ที่ปริมาตรความจุนั้นสมชื่อคือ 45 ออนซ์ในภาชนะที่สามารถหิ้วได้ วางได้

ที่สำคัญคือสามารถดื่มด่ำกับรสชาติได้นานยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าเทรนด์นี้มีข้อดีที่น่าสนใจซึ่งแตกต่างจากแพคเกจทุกอย่างที่เคยมีมา นั้นคือเจ้าถังเปล่าๆ ที่เรากินน้ำหมดแล้วสามารถเอาไปใช้งานอย่างอื่นได้อีกด้วย

แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือปริมาตรมากขึ้น ความจุมากขึ้นแล้วจะดีกว่าเดิมอย่างไรซึ่งเราประมวลความน่าสนใจมาให้เห็นเป็นตัวอย่างดังนี้

cc27

ภาพจาก goo.gl/c3ZsNk

1.ลงทุนซื้อแพคเกจใหม่ (ถัง) ปริมาณยิ่งมาก ต้นทุนยิ่งต่ำ จากที่เราสอบถามในงาน TFBO ล่าสุดซึ่งจัดที่ไบเทคบางนา เจ้าของร้านกาแฟถังซื้อแพคเกจเหล่านี้ในปริมาณ 1,000 ถัง/เดือน ราคาต้นทุนคือใบละ 6 บาท นำมาติดฉลากรวมแล้วต้นทุนเบื้องต้นในส่วนบรรจุภัณฑ์ประมาณ 10 บาท

2.ปริมาตรที่เพิ่มขึ้น นั้นส่วนหนึ่งคือน้ำแข็งที่อาจเป็นต้นทุนที่เปลืองมากกว่าเดิมแต่ในส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักจากการสอบถามต้นทุนต่อเดือนค่าวัตถุดิบต่างๆก็ไม่ได้ขยับไปมากนักอยู่ที่หลัก 5,000 บาท/เดือน

3.ส่วนนี้สำคัญมาก คือการตั้งราคาขายที่เฉลี่ยแล้วเมื่อเปลี่ยนเป็นกาแฟถังจะขายได้ใบละ 40-45 บาท ซึ่งเมนูที่ใช้ก็มีให้เลือกมากมายเหมือนเดิมทั้งประเภทก็ไม่แตกต่างมีทั้งแบบเย็นและแบบปั่น พ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในทำเลดีๆ เช่นย่านออฟฟิศ หรือว่าโรงเรียน แต่ละวันอาจขายได้ถึง 200 ถัง เป็นรายได้วันละกว่า 8,000 บาท

cc25

ภาพจาก goo.gl/8hC90l

4.บางร้านมีการพลิกแพลงให้น่าสนใจ ยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มลูกเล่นภายในบรรจุภัณฑ์ให้สามารถใส่น้ำได้ถึง 2 ชนิดในถังเดียวกันเรียกว่า“เมนู 2ใจลังเล”เพิ่มราคาขายจาก 40-45 เป็น 60 บาท เป็นทางเลือกในการเพิ่มพูนรายได้ที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

และนี่คือรูปแบบที่น่าสนใจแฟรนไชส์หลายแห่งก็เริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบเอากาแฟถังมาเป็นส่วนหนึ่งในการขยายฐานลูกค้า เสียงตอบรับส่วนใหญ่พึงพอใจและคาดว่าในอนาคตอาจมีลูกเล่นแบบใหม่ที่ดีกว่า

ซึ่งตอนนี้ก็มีให้เห็นบ้างแต่ยังไม่ฮืฮฮาเช่นบรรจุภัณฑ์แบบทรงสูงที่มีความสวยงามมากขึ้น อาจอยู่ในช่วงทดลองตลาดแต่ถ้าฮืฮอาเมื่อไหร่เราจะไปตามติดเรื่องนี้มานำเสนออีกทีแน่นอน

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด