6 วิธีพิชิตตลาดยุคกระเป๋าแฟบ

ในยุคที่เศรษฐกิจไม่สู้จะดีนักหลายคนชักหน้าไม่ถึงหลัง บางคนหนักกว่าคือหามื้อกินมื้อ เรื่องที่จะมาจับจ่ายใช้สอยเกินความจำเป็นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้แต่ละครอบครัวจึงมีมาตรการรัดเข็มขัดตัวเองเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินที่จะเกิดในอนาคต แต่ทว่าในโลกของธุรกิจเมื่อคนจับจ่ายน้อยก็เท่ากับว่าโอกาสทำกำไรแทบจะไม่มีเช่นกัน

เหตุนี้เราจะมีหนทางอย่างไรเพื่อฝ่าวิกฤติและทำการตลาดใน ยุคกระเป๋าแฟบ ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com มี 6 วิธีที่น่าจะปรับใช้เป็นทางออกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนั้นยังพอเดินหน้ารอเวลาที่เศรษฐกิจจะกลับมาสดใสในอนาคต

1. กลับคืนสู่สามัญ

kk8

ภาพจาก goo.gl/YyaIgN

นักการตลาดหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าของสินค้าควรกลับมาที่เบสิกของการตลาดคือ สินค้าหรือบริการต้องคุ้มค่ากับเงินที่ผู้บริโภคจับจ่าย

นอกจากนี้ยังควรต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เนื่องจากช่วงเวลานี้ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าตามความจำเป็น จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคไม่คิดมาก หรือรู้สึกระแวงเมื่อซื้อสินค้า หรือใช้บริการ นอกจากนี้ ยังควรหันมาใช้กลยุทธ์แบบปากต่อปาก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคน้อยจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มกับการสื่อสารการตลาดมากนัก

2.Brand Building

kk9

ภาพจาก goo.gl/kGb1fp

ช่วงเศรษฐกิจดีพฤติกรรมผู้บริโภคจะใช้อารมณ์เป็นตัวนำในการซื้อเรียกว่าชอบแบบไหนอยากได้อะไรก็ไม่สนใจซื้อๆ และซื้อ เราจึงเห็นแบรนด์ใหม่ๆผุดขึ้นมาในช่วงนั้นราวกับดอกเห็ด

แต่ทว่าในยามกระเป๋าแฟบพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนสิ้นเชิงเป็นการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ตลาดช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นการเคลียร์ตัวเองว่าใครคือผู้นำและเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในโลกของธุรกิจ

ด้วยเหตุนี้การสร้างแบรนด์ให้คนจดจำตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจดีๆ เป็นเรื่องสำคัญมากถ้าใครเคยทำแบบนั้นไว้คนจะติดและฝังใจเลือกใช้สินค้าและบริการของเราในยามกระเป๋าแฟบเช่นกัน ยกตัวอย่างเครื่องดื่มประเภทชาเขียวที่มีการตลาดอย่างต่อเนื่อง ในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแม้มีผลกระทบบ้างแต่ยอดขายก็ยังดีและมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูง

3.เรียนรู้การใช้ระบบ CRM ผูกสัมพันธ์ให้แนบแน่น

kk10

ภาพจาก goo.gl/kGb1fp

เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่า 3-15 เท่า ทำให้ ระบบCRM (Customer Relationship Management) หรือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ามีความสำคัญมากนี่คือเครื่องมือการตลาดที่เจ้าของธุรกิจจะขาดไม่ได้ในยุคนี้

การที่ธุรกิจไม่อาจรักษาฐานลูกค้าไว้ทำให้ธุรกิจอยู่ยากขึ้นเพราะการบริการที่ไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้อย่างสูงสุดการมีฐานลูกค้าที่ดีไม่ต่างจากการมีคนที่ภักดีต่อแบรนด์เป็นผลให้ธุรกิจสามารถทรงตัวได้ดีแม้ในยามที่การเงินนั้นหายากเต็มทีด้วย

4.รู้จักการใช้ CSR ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

kk14

CSR (Corporate Social Responsibility) แม้ไม่ใช่เครื่องมือการตลาดสำหรับการเพิ่มยอดขายหรือเพิ่มผลกำไรในทางตรง แต่ CSR มีความสำคัญที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้บริโภคให้มีความรู้สึกที่ดีต่อสินค้าและบริการนั้นๆ

พูดง่ายคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นยิ่งในยุคที่เป็นโซเชี่ยลเนทเวิร์คสิ่งที่ธุรกิจทำผิดพลาดจะแพร่กระจายในสังคมอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันถ้ามีภาพลักษณ์ดีๆ ก็ย่อมเกิดศรัทธาแม้ในยามเศรษฐกิจไม่ดีคนก็จะใช้เหตุผลในการซื้อว่าเป็นแบรนด์ที่ดีเป็นแบรนด์ที่มีประโยชน์ต่อสังคมเป็นต้น

5.จำเป็นต้องเน้นการ PR

kk13

เทคนิคของการ PR ที่สำคัญและจำเป็นนั้นเนื่องจากจะเป็นตัวต่อยอดในทุกกิจกรรมการตลาด เป็นตัวช่วยต่อยอดให้กับโฆษณา, เซล โปรโมชั่น, อีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ต่างๆ

ที่สำคัญการทำ PR นั้นใช้งบประมาณที่น้อยกว่า ซึ่งหลายคนมองภาพไม่ออกว่าตกลงแล้วระหว่าง Marketing กับ PR นั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรืออย่างไร

ถ้าเราเหมารวมก็อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันได้แต่ถ้าแยกรูปแบบออกมาจะพบว่า Marketing เป็นศาสตร์แห่งการทำให้คนมาเป็นลูกค้า แต่ PR จะเน้นเรื่อง ‘คน’ การทำให้ชื่อบริษัท และชื่อองค์กรปรากฏในสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ดังนั้นในยุคที่เงินฝืดรายรับน้อยกว่ารายจ่ายการทำ PR ก็เพื่อตอกย้ำแบรนด์ให้ลูกค้าจดจำและศรัทธาก่อนการทำ Marketing ที่อาจจะตามมาในภายหลังนั่นเอง

6.รู้จักใช้ CEM เพื่อบริหารประสบการณ์ดีๆของลูกค้าให้เกิดขึ้น

kk11

ภาพจาก goo.gl/ZzIydn

ระหว่าง CRM กับ CEM นั้นแตกต่างกันที่ CEM คือวิธีการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความรู้สึกเชิงบวกต่อสินค้าและบริการที่จะสามารถต่อยอดไปเป็นฐานลูกค้า

เมื่อเป็นฐานลูกค้าก็จะใช้เทคนิค CRM เข้ามาบริหารจัดการต่อ เทคนิคของการทำ CEM นั้นต้องให้ลูกค้ารู้สึกว่านี่คือสินค้าหรือบริการที่พิเศษกว่ารายอื่นๆโดยมองลึกลงไปในใจผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อสินค้าว่าเพื่ออะไร หรือแม้แต่การนำมาบัตรเครดิตมาใช้ว่าที่จริงแล้วเขาอยากใช้เพื่ออะไร เพื่อซื้อสินค้าได้ถูก…ประหยัด หรือเพื่อได้เครดิต เป็นต้น

แม้จะดูว่าเป็นความรู้เชิงวิชาการมากไปสักหน่อยแต่สำหรับการทำธุรกิจตั้งแต่ระดับกลางถึงขนาดใหญ่แล้ว วิธีเหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญที่ควรนำมาใช้อย่างจริง

แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาก็อาจประยุกต์ใช้บางข้อ เช่น การพยายามรักษาฐานลูกค้าหรือว่าการหาสินค้าที่ดีที่เหมาะสมกับราคามาจำหน่ายก็น่าจะใช้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาในยามเศรษฐกิจไม่ดีได้ในระดับหนึ่งและเมื่อถึงวันที่เศรษฐกิจรุดหน้าสินค้าเราก็จะยิ่งติดตลาดขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากขึ้นหลายเท่าตัวทีเดียว

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด