5 เทรนด์ดึงลูกค้าสร้างกำไรให้ธุรกิจในปี 2017

เมื่อเรากำลังจะก้าวข้ามปีเก่าสู่ปีใหม่ ต้องมีหลายสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ไม่เว้นแต่ใน โลกของธุรกิจ ที่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นค่อนข้างรวดเร็วและจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องก้าวตามให้ทันโดยเฉพาะกับกระแสเทคโนโลยีที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่าคือเครื่องมือสำคัญที่มีผลต่อการสร้างสรรค์การตลาดเป็นอย่างมาก

www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าในปี 2017 เป็นอีกปีหนึ่งที่เราไม่อาจทำการตลาดแบบเดิมๆได้อีกต่อไป การผนวกเอาสินค้ารวมกับเทคโนโลยีจะกลายเป็นเทรนด์ที่สร้างความน่าสนใจได้มาก

ซึ่งในต่างประเทศเองก็เริ่มดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้กันไปบ้างและนี่คือ 5 เทรนด์ในปี 2017 ที่คาดว่าจะมาแรงและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแวดวงธุรกิจได้อย่างดี

1.สร้างธุรกิจให้เหมือนจับต้องได้ (Virtual Experience Economy)

โลกของธุรกิจ

ภาพจาก goo.gl/wC7Oxi

ในปี 2017 ถือเป็นยุคทองของโลกดิจิตอลโดยแท้โดยจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายจากยุคข้อมูลข่าวสารที่ Internet มีความสำคัญ สู่ยุคแห่งเศรษฐกิจประสบการณ์ (Experience Economy) ยืนยันได้จากตลาดอุปกรณ์เทคโนโลยีที่จะพาเราสู่ความจริงใน 3 รูปแบบคือ

  • เสมือนจริง (Virtual Reality -VR)
  • ความจริงเสริม (Augmented Reality -AR) และ
  • ความจริงผสมผสาน (Mixed Reality -MR)

ที่กำลังเติบโตในจำนวนนี้อุปกรณ์ประเภทแรกจะเข้ามามีบทบาทและถูกนำมาใช้มากสุด เพราะนอกจากจะสร้างความแปลกใหม่ทางธุรกิจและไม่ซับซ้อนเกินไปแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆ

แม้มีข้อจำกัดทางกายภาพก็ตาม โดยความสำเร็จของแบรนด์ที่เข้าร่วม Trend นี้วัดกันตรงที่แบรนด์ไหนจะสามารถตอบสนองพฤติกรรมในส่วนลึกของผู้บริโภคได้มากกว่ากัน

ตัวอย่างของแบรนด์ที่เริ่มใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เช่น Alibaba เว็บไซต์ E-Commerce ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนที่ให้นักช็อปชาวจีนสวมแว่น VR ซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า Mercy’s ที่อยู่ไกลออกไปถึง New York ได้อีกด้วย

2.สร้างภาพลักษณ์ชูธุรกิจเป็นศูนย์กลางให้ทุกคนมีความเสมอภาคกัน(World Apart : Campaign)

w2

ภาพจาก goo.gl/aJF0b2

ปัญหาหนึ่งในปีที่ผ่านๆมาคือความเหลื่อมล้ำของคุณภาพชีวิต ก่อให้เกิดทั้งปัญหารายได้ การก่อการร้าย และการแตกแยกในระดับองค์กรจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้แบรนด์ที่สร้างแคมเปญ

เพื่อเชื่อมประสานความแตกร้าวเหล่านี้จะเป็นเหมือนธุรกิจที่ทำให้โลกยุคใหม่มีความเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแต่สิ่งสำคัญคือต้องเป็นการทำที่ออกมาจากความรู้สึกที่อยากแก้ปัญหาเหล่านั้นได้จริงๆ

ตัวอย่างของแบรนด์ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้คือ Momondo เว็บไซต์จองบริการท่องเที่ยวของเดนมาร์ก ที่ออกแคมเปญชื่อ The DNA Journey โดยให้คนหลายเชื้อชาติเผยถึงความภูมิใจในประเทศตัวเองและประเทศที่ตนเองมีทัศนคติเชิงลบ

โดยหนังโฆษณาเรียกน้ำตาในตอนท้ายเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนไปท่องเที่ยวสืบหาที่มาของตนเองเรื่องนี้ กระแสตอบรับดีพอสมควร หลังเผยแพร่มา 6 เดือนมียอด View บน Youtube กว่า 12 ล้านครั้ง

3.สร้างธุรกิจที่สามารถทลายกำแพงอคติในโลกดิจิตอล(Incognito Individual)

w3

ภาพจาก goo.gl/td7a8Z

ปัจจุบันแบรนด์รวมถึงบรรดา Social Media รู้ใจผู้บริโภคมากขึ้นจนน่าตกใจ เบื้องหลังคือการนำข้อมูลส่วนตัวมาผ่านชุดคำสั่ง (Algorithm) สร้างเนื้อหาให้ “เป๊ะ” กับรสนิยม พิสูจน์ได้จากเพลงในPlaylist ของ Spotify ที่ป้อนให้ผู้ใช้ 40 ล้านคนทั่วโลกทุกวันจันทร์

ซึ่งการวางใจเทคโนโลยีมากเกินไป ทำให้เกิดการจัดกลุ่มผู้บริโภคแบบเหมารวม บางครั้งการที่มีอคติต่อกันเช่นผู้หญิงอคติต่อผู้ชาย คนขาวอคติต่อคนดำ เมื่อพูดคุยกันก็ทำให้คลางแคลงใจต่อกัน จึงมีซอฟแวร์ ที่เน้นการแปลงเสียงให้คลุมเคลือเพื่อให้การพูดคุยดำเนินต่อไปได้ง่ายขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความรู้สึกสงสัยต่างๆเหล่านั้น

4.สร้างธุรกิจให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย (Capacity Capture)

w5

ภาพจาก goo.gl/fpi55n

ในปี 2017 ความคาดหวังของผู้บริโภคที่สูงขึ้นจะขยายสู่ประเด็นทางสิ่งแวดล้อมและพลังงานด้วย แบรนด์จึงต้องหา ต้องสร้างรูปแบบใหม่ในบริหารจัดการพลังงานให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ไปพร้อมกับการลดปริมาณขยะจากการอุปโภค บริโภคให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งผลกำไรควรมีความสำคัญรองลงมาจากการอนุรักษ์และทำให้ผู้บริโภคอิ่มเอมกับการทำความดีนั้นๆ

ตัวอย่างของแบรนด์ที่เริ่มดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้เช่น Nissan แบรนด์รถญี่ปุ่นที่ร่วมกับ Enel บริษัทไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ของยุโรป ออกแคมเปญ Vehicle to Grid ด้วยการให้เจ้าของรถพลังงานไฟฟ้า 2 รุ่น คือ LEAF และ NV200 ในอังกฤษ จ่ายไฟฟ้าของเครื่องยนต์ที่เต็มแล้วแต่จอดทิ้งไว้

โดยไม่ได้ใช้ให้กับโรงไฟฟ้าหรือสำหรับใช้ในตัวอาคารสำนักงานช่วงกลางวัน ชาร์จกลับมาให้ช่วงบ่ายก่อนขับกลับบ้าน และชาร์จอีกครั้งตอนกลางคืนที่ความต้องการใช้พลังงานน้อย โดยสิ่งที่เจ้าของรถจะได้ตอบแทนคือค่าไฟที่ถูกลงนั่นเอง

5.สร้างธุรกิจที่มีนวัตรกรรมทางเทคโนโลยีมากขึ้น (Big Brother Brands)

w4

ภาพจาก goo.gl/AIdwKk

อุปกรณ์ที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence-AI) จะเริ่มมีบทบาทอย่างมากในปี 2017 จากาการวิจัยของ Tractrica บริษัทวิจัยข้อมูลตลาดสินค้าเทคโนโลยีในสหรัฐ คาดว่าจำนวนผู้ใช้ Gadget ประเภทนี้ทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 390 ล้านคนในปี 2015 จะเพิ่มเป็น 1,800 ล้านคนเมื่อถึงปี 2021

โดยผู้บริโภคนิยมในอุปกรณ์เหล่านี้เพราะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้มากแน่นอนว่าแบรนด์ก็ต้องคำนึงการตลาดที่มองเห็นกระแสความต้องการเหล่านี้ไว้ด้วย

ตัวอย่างของแบรนด์ที่ดำเนินการในกลยุทธ์นี้เช่น Google ที่เปิดตัว Google Assistant ลำโพงที่เชื่อมต่อ Internet ผ่าน WIFIซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สั่งการกิจกรรมบน Internet เช่นตรวจ E-Mail ,Upload รูปภาพ

ซื้อสินค้าออนไลน์ สอบถามข้อมูลหรือเปิดเพลงจาก List ใน Spotify ด้วยเสียง โดยเป็นไปได้ว่าในอนาคตอาจรวมไปถึงบอกให้ AI ปิด-เปิดเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านด้วย

จะเห็นได้ว่าเทรนด์ของการตลาดในปี 2017 เริ่มจะก้าวล้ำเข้าสู่เรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น การที่หลายคนเคยเห็นนวัตรกรรมต่างๆที่อยู่ในภาพยนต์ในปี 2017 นี้คาดว่าจะมีการพัฒนาอุปกรณ์เหล่านั้นออกมาใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น

ทั้งนี้สินค้าทั้งหลายนอกจากความคิดในการสร้างสรรค์คุณภาพสินค้าก็ควรจับเทรนด์การตลาดโลกดิจิตอลเหล่านี้ไว้รับรองว่าไม่ตกเทรนด์และจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์กำไรได้อย่างดีทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/fLjJX3

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด