เมื่อ 7-eleven เลิกขาย 1-2-call แล้วเราจะไปเติมเงินที่ไหนดี?

เห็นความไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ได้สักพัก เมื่อไปถามหา บัตรเติมเงิน 1-2-call ที่ ร้านสะดวกซื้อ อย่าง 7-eleven ปรากฏว่าไม่มีสินค้าซึ่งพนักงานให้เหตุผลว่าตอนนี้สินค้าขาดตลาด และเมื่อถามอีกว่าเมื่อไหร่สินค้าถึงจะเข้ามาก็ยังได้รับคำตอบอีกว่า “ไม่ทราบเหมือนกันคะ”

สุดท้ายเรื่องนี้มาปรากฏชัดถึงที่มาที่ไปที่ทำให้สินค้าอย่างบัตรเติมเงิน 1-2-call ซึ่งไม่เคยขาดตลาดจาก 7-eleven นั้นเป็นเพราะ 7-eleven ยกเลิกการขายบัตรเติมเงิน1-2-call อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเรื่องนี้มีเหตุผลน่าสนใจอะไรที่ทำให้

7-eleven ยอมตัดรายได้ของตัวเองลงกว่า 1,000 กว่าล้านบาท/ปี และจากนี้ในฐานะของคนที่ยังใช้ระบบเติมเงินของ 1-2-call จะหาแหล่งเติมเงินได้จากที่ไหนกันบ้าง

ทุกคำถามน่าสนใจ www.ThaiSMEsCenter.com มีคำตอบให้ทุกท่านกับเกมส์ธุรกิจที่ว่ากันว่าเป็นศึกศักดิ์ศรีชนิดกินกันไม่ลงทีเดียว

เกิดอะไรขึ้นระหว่าง 7-eleven และ AIS?

บัตรเติมเงิน 1-2-call

ภาพจาก goo.gl/B4gIHC

เมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาทางผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโสส่วนงานการตลาดและการขายของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้ออกมาเปิดเผยว่า

ขณะนี้ 7-Eleven ได้ยุติการจำหน่ายและให้บริการระบบเติมเงิน1-2-call เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเหตุผลตามที่แจ้งให้ทราบคือ 7-Eleven ได้แจ้งขอปรับขึ้นค่าตอบแทนในการขายจาก 5 % เป็น 7% ซึ่งทาง AIS ได้ขอเวลาในการพิจาณา แต่นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างทางเดินที่แตกต่างจึงทำให้7-Eleven ตัดสินใจหยุดนำเข้าบัตรเติมเงิน 1-2-call ในทันที

แน่นอนว่าเรื่องนี้ประชาชนไม่ทราบมาก่อนเพราะจากการสำรวจไปตาม7-Eleven ทั้งที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สินค้าขาดตลาดแทบจะทันทีสาขาที่ยังจำหน่ายอยู่บ้างก็เป็นเพราะมีสินค้าเก่าที่หลงเหลืออยู่แต่ไม่มีการนำเข้าเพิ่มเติมและก็น่าจะหมดลงในเวลาไม่นานนัก

อะไรที่ทำให้ 7-eleven มั่นใจว่าหมากเกมส์นี้ตัวเองไม่เสียเปรียบ

lm2

ภาพจาก goo.gl/B4gIHC

7-Eleven ในฐานะร้านสะดวกซื้ออันดับ 1 ของไทย ที่มีสาขา 8,832 แห่ง ณ สิ้นปี 2558 ครอบคลุมทุกพื้นที่มากที่สุด และมีอัตราการเพิ่มสาขา เฉลี่ย 600 สาขาต่อปี ดังนั้นสิ้นปีปี 2559 น่าจะมีประมาณ 9,400 สาข โดยตั้งเป้าว่า ในปี 2561 จะมีจำนวนสาขาในไทยครบ 10,000 แห่ง นี่คือ ความสะดวกในการเติมเงินที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

เริ่มแรก 7-Eleven ต้องการบริการเติมเงินของ 1-2-Call เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า เพราะจำนวนผู้ใช้มือถือเติมเงิน 1-2-Call มีมากที่สุด แต่เมื่อวันเวลาผ่านเลยมา จำนวนผู้ใช้ TrueMove H ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้ว โดยมีผู้ใช้งาน 16.2 ล้านรายทั่วประเทศ ดังนั้น มาถึงวันนี้ ถ้าจะไม่มีสินค้า 1-2-Call จำหน่าย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

และเมื่อกลางปีที่ผ่านมา 7-Eleven ได้เสนอให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนมาใช้ TrueMove H ได้ทันทีผ่าน 7-Eleven ซึ่ง กสทช. ก็อนุญาตให้ทำได้ เพราะถือเป็นการอำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการ

ดังนั้น 7-Eleven มีเฉพาะสินค้าและบริการของ TrueMove H จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่ 7-Eleven เองต้องพยายามทำในเบื้องต้นคือการไขข้อข้องใจของประชาชน

ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งคือลูกค้าของบัตรเติมเงิน 1-2-Call ทาง 7-Eleven ต้องมองในแง่ของการรักษาลูกค้าว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้รู้สึกพึงพอใจกับนโยบายที่เปลี่ยนไปได้มากที่สุด

ไม้เด็ดของ AIS ชูจุดแข็ง เน้นยังมีจุดเติมเงินอีกกว่า 500,000 จุดทั่วประเทศ

lm4

ภาพจาก goo.gl/AnzeU5

โจทย์เดียวของ AIS คือ ต้องรักษาฐานลูกค้าเดิมๆ ที่ใช้งานแอป หรือ สมาร์ทโฟนไม่ถนัด จะทำยังไงให้หาจุดเติมเงินได้ง่ายเหมือนเดิมการขาดจุดขายอย่าง 7-Eleven ก็คงไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะความเคยชินของผู้ใช้ที่เคยเติมเงินง่ายๆ ที่ 7-Eleven ยิ่งคนอายุมากหน่อย ยื่นมือถือให้พนักงานช่วยเติมเงินให้ด้วย

ทางออกของ AIS อยู่ที่ ตู้บุญเติมหน้า 7-Eleven นั่นเองที่สามารถเติมเงินได้เช่นกัน หรืออีกทางหนึ่งคือ ร้านโชว์ห่วยต่าง หรือพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดที่ AIS ใช้เป็นจุดเติมเงินแทน

ด้วยจำนวนลูกค้า 33.5 ล้านราย อีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ใช้งานในปัจจุบันมีความเป็น ดิจิทัล มากขึ้น ใช้สมาร์ทโฟนได้ LINE, Facebook คือแอปสามัญประจำเครื่องอยู่แล้ว ถ้าสามารถใช้งาน mPay ได้สักหน่อย ก็เติมเงินเองได้ หรือเติมให้คนอื่นๆ ได้ด้วย นี่เป็นความหวังหนึ่งของ AIS เช่นกัน

สรุปภาพรวมสำหรับจุดเติมเงินของ AIS ประกอบด้วย เอไอเอส ช้อป,เทเลวิซ, ไอเอส บัดดี้ และ โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ บิ๊กซี, โลตัส, แฟมิลี่ มาร์ท, ไปรษณีย์ไทย, ซีเอ็ด, ท็อป, 108 ช้อป เป็นต้น

รวมกว่า 10,000 ทั่วประเทศ รวมไปถึง เอทีเอ็ม ธนาคารต่างๆ ทั้งหมด 11 ธนาคาร มากกว่า 40,000 ตู้ทั่วประเทศ และ หน่วยเติมเงินต่างๆ อาทิ ตัวแทน เอ็มเปย์, ตู้บุญเติม ฯลฯ รวมกว่า 500,000 จุด และ แอพพลิคชั่น โมบายแบงก์กิ้ง เป็นต้น

งานนี้ผลพลอยได้อยู่ที่ “ตู้บุญเติม” เต็มๆ

lm3

ภาพจาก goo.gl/xvRLHo

บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ถือเป็นผู้นำช่องทางการชำระเงินที่มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศไทยผ่าน ”ตู้บุญเติม”ซึ่งได้มีการจับมือเป็นเป็นพันธมิตรกับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งปัจจุบัน ”ตู้บุญเติม” วางหน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ประมาณ 7,000 ตู้ทั่วประเทศ

และส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และถึงแม้สัดส่วนระหว่างการเติมเงินที่ตู้บุญเติมก่อนหน้านี้จะมีสัดส่วนมากพอสมควร เพราะจุดเด่นที่สามารถเติมขั้นต่ำที่ 10 บาท ดีกว่าการเติมในเซเว่นที่มีขั้นต่ำอยู่ 50 บาท

และเมื่อมีปัญหานี้คาดว่ายอดการใช้บริการตู้บุญเติมจะสูงยิ่งขึ้นโดยที่ผ่านมามูลค่าการเติมเงินมือถือผ่านตู้บุญเติมมีมากกว่า 13% ของมูลค่าตลาดมือถือระบบเติมเงินที่มีเงินรายได้รวมกว่า 6.9 หมื่นล้านบาท/ปี และนับจากนี้ก็ตั้งเป้าว่าจะขยายจุดเติมเงินให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการที่คาดว่าจะมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดที่ยักษ์ใหญ่มีการขยับนโยบายใหม่ๆ ในฐานะที่เราเป็นผู้ใช้บริการก็คงต้องหาทางปรับตัวกับเรื่องนี้ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มือถือมีความสำคัญกับเรามากอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับธุรกิจนี้เราจึงควรติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดจะได้หาทางรับมือกับแนวทางที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปได้อีกในอนาคต

และสำหรับใครที่มองว่านี่คือโอกาสของการก้าวเข้าสู่ธุรกิจเติมเงินมือถือที่ดีและต้องการลงทุนกับตู้เติมเงินบุญเติมสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ goo.gl/ApBpLZ

 

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3jZ9WI0

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด