ธนาคารสวิสเผย! จำนวนคนรวยจีนแซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก!

จากการ สำรวจความมั่งคั่ง ประจำปีของธนาคารสวิส หรือ Credit Suisse (CS) พบว่ามีคนจีนกว่า 100 ล้านคนในกลุ่มคนรวยที่สุดในโลก 10% เมื่อเปรียบเทียบกับ 99 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา

โดย Nannette Hechler-Fayd’herbe หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและการวิจัยของธนาคารสวิสก็ได้กล่าวว่า “แม้จะมีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศก็ยังมีการสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ และ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ตามลำดับ”

สำรวจความมั่งคั่ง

ภาพจาก bit.ly/35Vmvxi

โดยอันดับเศรษฐีของโลกเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านคน เป็นประมาณ 46.8 ล้านคน โดยมีสินทรัพย์สุทธิ 158.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 44% ของยอดรวมจากทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้นถึง 675,000 คน เมื่อปีที่แล้ว ส่วนความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยในออสเตรเลียลดลง ส่วนใหญ่เป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน ทำให้จำนวนเศรษฐีลดลง 124,000 คน โดยชาวอังกฤษจะลดลงถึง 27,000 คน และชาวตุรกีจะลดลงถึง 24,000 คน

ซึ่งธนาคารสวิสก็ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 2.6% จากในปีที่ผ่านมา โดยจะเพิ่มขึ้นถึง 27% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เป็น 459 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2024 จำนวนมหาเศรษฐีก็จะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้เกือบ 63 ล้านคน ส่วนแบ่งของ 90% ที่ต่ำที่สุดในโลกคิดเป็น 18% ของความมั่งคั่งทั่วโลก เมื่อเทียบกับ 11% ในปี 2000 แต่สัดส่วนชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยยังมีความร่ำรวยกว่าชาวจีนมากเช่นกัน

72

ภาพจาก bit.ly/2PeUDOy

โดย Anthony Shorrocks นักเศรษฐศาสตร์และผู้เขียนรายงานกล่าวว่า “ด้วยข้อมูลเกือบสองทศวรรษนี้ เราได้เห็นถึงการเติบโตจากความมั่งคั่งด้วยกันถึง 2 ระยะดังนี้ โดยศตวรรษแรกจะเริ่มด้วย ‘ยุคทอง’ ของการสร้างความมั่งคั่งที่แข็งแกร่ง แต่การเติบโตของความมั่งคั่งเหล่านี้กลับทรุดลงในช่วงของวิกฤตการณ์ทางการเงินและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

จากนั้นพวกมันก็ไม่เคยฟื้นกลับมาสู่ระดับเดิมได้อีกเลย” อีกทั้งเขาก็ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “มีการเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินไหวในช่วงของวิกฤตการณ์ทางการเงิน เมื่อจีนและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆได้เข้ามาเป็นกลไกที่จะช่วยในเรื่องของความมั่งคั่ง ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกายังคงรักษาความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 11 ปี”

71

ภาพจาก bit.ly/2NeHVgv

ซึ่งจากรายงานระบุว่า บุคคลที่เกิดระหว่างต้นทศวรรษ 1980 และปลายยุค 90 นั้น เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่สุด ซึ่งจากตามรายงานก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลก โดยภาวะที่ถดถอยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับโอกาสและการทำงานที่ไม่ดีตามมา

แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ยังได้รับผลกระทบในอีกหลายๆประเทศอีกด้วย อย่างเช่น อัตราราคาบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ซึ่งรายได้เหล่านี้ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือการสะสมความมั่งคั่งของตนเองในอนาคต”

70

ภาพจาก Carlos Barria /Reuters

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จีนก็ยังคงอ้างสิทธิ์ที่จะเติบโตแทนที่ยุโรปในฐานะประเทศหลักของการเจริญเติบโตความมั่งคั่งทั่วโลก โดยธนาคารสวิสก็ได้ตั้งข้อสังเกตในรายงานของ Global Wealth Report ประจำปีเอาไว้ว่า “เงื่อนไขทางการค้าและระดับหนี้ก่อให้เกิดความกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็พอที่จะมีสัญญาณบ่งบอกว่า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงในค่อนข้างที่ดีขึ้น”

โดยรายงานจะเน้นถึงขอบเขตที่ความมั่งคั่งของโลกจะอยู่ที่จุดสูงสุดถึง 59% โดยจะคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของความมั่งคั่งทั้งหมด โดย 10% แรกนั้นจะมี 82% และอีก 1% ที่เป็นเจ้าของคนเดียวกันเกือบครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์ทั่วโลกตามที่ธนาคารสวิสได้กล่าวเอาไว้


คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

ที่มา