จากเด็กร้านยา! สู่ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ยอดขายกว่า 300 ล้านขวดต่อปี

เส้นทางการทำธุรกิจของคนยุคก่อนมีความเป็นมาที่น่าสนใจ หลายธุรกิจไม่ได้เริ่มจากร้านขนาดเล็ก สินค้าไม่มาก แต่มีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่ง “โอสถสภา” ก็ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจชั้นนำระดับประเทศทุกวันนี้มีสินค้าหลากหลายชนิดเจาะตลาดผู้บริโภคได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลังที่มีหลายยี่ห้อทั้งเอ็ม-150 , ลิโพวิตัน-ดี , กระทิงแดง เป็นต้น

ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com มองว่านี่คือธุรกิจที่เป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังอย่างแท้จริง แต่กว่าจะมีวันนี้มีเรื่องราวน่าสนใจที่เราคิดว่าเป็นแง่คิดสำคัญที่ให้คนได้ลองศึกษาและนำมาผนวกใช้กับการทำธุรกิจของตัวเองได้

“เต็กเฮงหยู” ร้านยาในสำเพ็ง สู่การเป็น “บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)”

ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง

จากจุดเริ่มต้นในปี 2534 จากร้านขายของเบ็ดเตล็ดย่านสำเพ็ง “เต็กเฮงหยู” ของ “แป๊ะ แซ่ลิ้ม” โดยยาชนิดแรกที่ขายไม่ได้ผลิตเอง แต่เป็นของห้างบี.กริมม์ นำมาฝากขาย เป็นยาแก้เมื่อย แก้แพ้ ชื่อ “ปัถวีพิการ” และเป็นการจุดประกายให้ เห็นโอกาสทางการตลาด ในการผลิตยาขึ้นมาขาย เพราะมีตำรับยาโบราณจีนขนาดแท้ “กฤษณากลั่น” ซึ่งยากฤษณากลั่น ของ “แป๊ะ แซ่ลิ้ม” มีสรรพคุณบรรเทาโรคปวดท้องต่างๆ และได้ทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เพื่อใช้ในการซ้อมรบของกิจการเสือป่าที่จังหวัดนครปฐม

ด้วยคุณสมบัติของยาใช้ได้ผลดี ทำให้สินค้าได้รับความนิยมและขายดิบขายดี ทำให้หยุดขายสินค้าชนิดอื่น แล้วมุ่งทำตลาดยาเป็นหลัก พร้อมกับมียาชนิดอื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง เช่น ยากแก้ลม ชื่อ “ยาแสงสว่าง” ยาบำรุงผิวพรรณสตรี “ยาสตรีทีฆายุ” ยาแก้ปัญหานอนไม่หลับ “ยานิทราสำราญ” เป็นต้น

8

7

ในปี 2456 “แป๊ะ แซ่ลิ้ม” ได้รับพระราชทานเข็มเสือป่า และทรงประทานนามสกุล “โอสถานุเคราะห์” อันเป็นผลมาจากยากฤษณากลั่นที่ได้ผลิตออกขายและได้ผลดีมาก ในปี 2475 ร้านเต๊กเฮงหยูได้ย้ายไปยังถนนเจริญกรุง และเปลี่ยนชื่อร้านเป็น “โอสถสถาน เต๊กเฮงหยู” และผลิตยาสามัญประจำบ้านอื่นๆ ออกขายอีกหลายตัว เช่น ยาธาตุ ยาแก้ไอ ยาอมวัน-วัน ยาอมโบตัน และยาทัมใจ ธุรกิจเจริญเติบโตไปได้ด้วยดี จึงได้ทำการจดทะเบียนบริษัท และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) จำกัด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2492 พร้อมกับการขยายฝ่ายผลิตไปยังโรงงานย่านซอยหลังสวน

6

5

ภาพจาก https://bit.ly/3FjYWjV

นอกจากนั้นวันที่ 13 ตุลาคม 2502 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานครุฑตราตั้งให้แก่ บริษัท โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) จำกัดจากนั้นปี 2517 ธุรกิจใหญ่โตขึ้นตามลำดับ มีการควบรวมสำนักงานที่เจริญกรุงและโรงงานใน ซอยหลังสวน ให้มารวมกันอยู่ที่เดียวกัน บนที่ดินกว่า 70 ไร่บนถนนรามคำแหง ย่านหัวหมาก บางกะปิ แล้วได้เปลี่ยนชื่อบริษัทอีกครั้ง เป็น “บริษัท โอสถสภา จำกัด” ในปี 2538 และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2561

“ลิโพวิตัน-ดี” เครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์แรกที่ทำตลาดในประเทศ

4

ภาพจาก https://bit.ly/3sdDJTu

จากข้อมูลของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ตลาดรวมเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 0.5-1.5% หรือมีมูลค่าประมาณ 1.97 – 1.99 แสนล้านบาท ซึ่งลิโพวิตัน-ดี ของบริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด ถือเป็นแบรนด์แรกในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยที่มีมานานตั้งแต่ปี 2508 หรือเกือบ 56 ปีที่ผ่านมา โดยเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด เจ้าของ License ลิโพ จากประเทศญี่ปุ่น โดยมียอดจำหน่ายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านขวดต่อปี ด้วยสโลแกน “ลิโพ มั่นใจคุณทำได้” พร้อมกับโลโก้ “ชูสองนิ้ว” ที่คนไทยรู้จักกันมายาวนาน

และไม่ใช่แค่ลิโพวิตัน-ดี เท่านั้นเพราะโอสถสภามีเครื่องดื่มชูกำลังอีกหลายแบรนด์ในเครือ และเมื่อนับรวมยอดขายทำให้กลายเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 53.5% โดยมีผู้นำตลาดคือ เอ็ม-150 ในขณะที่ ลิโพวิตัน-ดี ลิโพวิตัน-ดี มีส่วนแบ่งการตลาดในภาพรวมประมาณ 9-10 % และหากนับรวมรายได้ช่วงปีที่ผ่านมา ทำรายได้จากการขาย 19,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% กำไรสุทธิประมาณ 2,404 ล้านบาท นอกจากนี้วิสัยทัศน์ของโอสถสภาในการทำธุรกิจถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาสินค้าหลากหลายแบรนด์เจาะทุกกลุ่มลูกค้าทำให้คงความเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังได้ในระยะยาว

เคล็ดลับความสำเร็จของ “โอสถสภา”

1.เน้นสินค้าหลากหลาย เจาะตลาดทุกกลุ่ม

3

ภาพจาก https://bit.ly/3shKMKD

กลยุทธ์ Port Folio หรือการมีสินค้าหลากกลายกลุ่ม ไม่หวังพึ่งพาสินค้าแค่กลุ่มเดียว ซึ่งต้องยอมรับว่า “โอสถสภา” มีกลุ่มสินค้าแข็งแกร่ง ภายใต้แบรนด์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เอ็ม-150 เอ็ม-สตอร์ม ลิโพวิตัน-ดี ลิโพ-พลัส ฉลาม โสมอิน-ซัม เอ็มเกลือแร่ กลุ่มนี้เป็นรายได้หลักของ “โอสถสภา” 77% จาก 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ธุรกิจบริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ธุรกิจลูกอมด้วย การเติบโตต้องบาลานซ์พอร์ต และเสริมสร้างให้แบรนด์ยังไม่แข็งแรงให้แข็งแรง สามารถสร้างรายได้เพิ่มเพื่อไม่ต้องเสี่ยงกับการพึ่งพาธุรกิจใดเพียงธุรกิจเดียว

2.เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ

2

ภาพจาก https://bit.ly/3P4lk5i

สินค้าของ “โอสถสภา” ปัจจุบันส่งออกไปทำตลาดอยู่ใน 25 ประเทศทั่วโลกแล้ว เป้าหมายสุดท้ายของบริษัท คือ การสร้างชื่อในฐานะสินค้าแบรนด์ไทย แต่ไปไกลในตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มจากสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มชูกำลังในเมียนมา และทำตลาดแบรนด์เบบี้มายด์ในประเทศจีนและเวียดนาม เป็นต้น

3.พัฒนาสินค้าให้ทันยุคสมัย

1

ภาพจาก https://bit.ly/3sdDJTu

เหตุผลที่เครื่องดื่มชูกำลังสารพัดแบรนด์ของโอสถสภาเป็นสินค้าขายดีต่อเนื่อง เพราะการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างดี เช่นการปรับโฉมเน้นความเป็นพรีเมี่ยม เจาะกลุ่มนักศึกษา-ออฟฟิศ แถมยังเล็งออกเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มผู้หญิงมากขึ้น หรือการนำ ลิโพวิตัน-ดี ทำ Collaboration กับการ์ตูนดราก้อนบอลแซด เพื่อออกแพ็กเกจจิ้งที่เป็นลิมิเต็ด อิดิชั่น ลวดลายการ์ตูนดราก้อนบอลแซด โดยนำเอา 5 ตัวเอกในเรื่องมาเป็นลวดลายบนขวด เป็นต้น ไม่นับรวมการจ้างพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ในการนำเสนอภาพลักษณ์สินค้าให้น่าจดจำ รวมถึงการบริหารคน บริหารองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ล้วนแต่เป็นเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตคู่สังคมไทยมาได้ยาวนาน

สำหรับใครที่อยากมีธุรกิจ หรือเริ่มทำธุรกิจตัวเอง สิ่งสำคัญที่ควรเรียนรู้คือวิสัยทัศน์ที่ต้องมองการณ์ไกล การบริหารคน บริหารผู้ร่วมงานที่มีประสิทธิภาพ ในยุคที่การแข่งขันสูงธุรกิจที่รู้จักการปรับตัว จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก นอกจากนี้การแก้ปัญหาและการวางแผนในกรณีฉุกเฉินก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน


ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/35HL6tD , https://bit.ly/3IzDNTu , https://bit.ly/3K7FxDR , https://bit.ly/3IAHPex , https://bit.ly/3vMkaEr , https://bit.ly/3HBlxrJ , https://bit.ly/3KUoaqP

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3P1k175

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด