3 เหตุผลขายดี ทำไมเจ๊ง!

เชื่อว่าพ่อค้าแม่ค้า หรือเจ้าของธุรกิจหลายคนอาจประสบปัญหา หมุนเงินไม่ทัน เงินไม่เหลือเก็บ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทั้งๆ ที่ร้านหรือธุรกิจของตัวเองขายดิบขายดี ลูกค้าใช้บริการตลอดเวลา

แต่พอถึงสิ้นเดือนทีไรขาดทุน บางรายถึงกับเจ๊งและปิดร้านไปเลยก็มี แล้วอยากรู้หรือไม่ว่า ทำไมร้านของคุณขายดิบขายดี แต่เจ๊ง!! วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จะมาบอกเหตุผล

1. ไม่แยกเงินธุรกิจออกจากเงินส่วนตัว

เหตุผลขายดี

ภาพจาก bit.ly/2BhAb7y

การที่ไม่ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองคือเจ้าของธุรกิจ และเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดอยู่แล้ว จะใช้อย่างไรก็ได้ นั่นคือแนวคิดเริ่มต้นที่ผิด เพราะต้องมองให้ธุรกิจเป็นเหมือนบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่เรารับจ้างทำงานให้อยู่

เวลาเราจ้างลูกจ้าง จ่ายเงินเดือนชัดเจน ใช้เกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ตัวเราซึ่งรับจ้างธุรกิจที่เราก่อตั้งขึ้นมา กลับใช้เงินได้ไม่จำกัด ซึ่งส่งผลทำให้เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนไม่คงที่ในแต่ละเดือน ขึ้นอยู่กับเราจะเมามันหยิบมาใช้มากน้อยแค่ไหน

ดังนั้น ต้องตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง แล้วจ่ายเงินเดือนเมื่อสิ้นเดือนเหมือนพนักงานคนอื่นๆ แล้วต้องใช้เงินแค่นั้น ห้ามเกิน ถ้าเกิน ก็ห้ามหยิบมาจากลิ้นชักอีก ต้องไปหายืมคนอื่นเอาเอง ห้ามยืมจากลิ้นชัก ถ้าจะยืมจากลิ้นชักจริงๆ ก็ต้องจด แล้วนำมาคืนอย่างเคร่งครัด

2. ไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย

66

ภาพจาก bit.ly/33rLC8W

เมื่อจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองมาแล้ว ควรจะทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้ตัวเองด้วย คร่าวๆ ก็ได้ เอาพอรู้ว่า แต่ละวันจ่ายอะไรไปเท่าไหร่ เหลือเงินใช้ได้อีกเท่าไหร่ ไม่ใช่ใช้สนุกมือไปเรื่อย เพราะเห็นว่าธุรกิจขายดี

ถ้าคิดว่าขายดี และเงินเดือนที่ตั้งให้ตัวเองไม่พอใช้ ขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองซะ จะขึ้นเท่าไหร่ไม่มีใครว่า แต่ควรเป็นตัวเลขที่มีเหตุผล และไม่ทำให้กระทบกับรายรับของธุรกิจ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่กระทบ ต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของธุรกิจด้วย

อันนี้ถ้าไม่ทำแย่เลย ของส่วนตัวขี้เกียจทำ ใช้ระบบนับเงินที่เหลือในกระเป๋ายังพอได้ แต่ของธุรกิจ ไม่ทำบัญชี เดี๋ยวจะรวยแบบไม่รู้เรื่อง และเจ๊งแบบไม่รู้เรื่องเช่นกัน

3. ใช้เงินไปกับเรื่องส่วนตัวมากเกินไป

65

ภาพจาก bit.ly/2MlqHyK

หลายคนเอาเงินที่หยิบจากลิ้นชักไปซื้อข้าวกิน ไปเลี้ยงสังสรรค์ ไปซื้อของใช้เข้าบ้าน ไปผ่อนรถ ตรงนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น เรื่องส่วนตัวต้องใช้เงินส่วนตัว คือเงินเดือนของตัวเอง แต่เงินของธุรกิจ ควรจะจ่ายในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ชำระหนี้การค้า ซื้อวัตถุดิบ จ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง ฯลฯ อะไรก็ได้ ที่เกี่ยวกับธุรกิจ

ตอนที่รับเงินจากลูกค้า ในเงินแต่ละก้อนที่ได้รับ ประกอบด้วย ต้นทุนของสินค้า ต้นทุนค่าดำเนินการ และกำไร อยู่ในนั้น แต่เวลาที่เราหยิบออกมาจ่าย เรากลับมองว่าวันนี้รับมาเท่าไหร่ โดยมองว่าเป็นรายรับล้วนๆ ไม่คิดจะแยกทุนแยกกำไรกัน พอเอาไปใช้ผิดประเภท เท่ากับว่าได้ใช้ทั้งกำไรและต้นทุนไปทั้งหมด ก็จะอยู่ในอาการ ทุนหด กำไรไม่เหลือ

จะเห็นได้ว่า แม้ว่าร้านของคุณจะขายของดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้จักบริหารจัดการเงินทอง ก็สามารถเจ๊งได้เหมือนกัน หากพ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของกิจการร้านค้าต่างๆ ขายของอยู่ดีๆ กลับประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ก็ลองตรวจสอบตัวเองก่อนว่า ขาด 3 องค์ประกอบข้างต้นหรือไม่ เพราะทั้งหมดเป็นปัจจัยสำคัญที่คุณจะต้องทำ ไม่เช่นนั้นร้านคุณอาจเจ๊งได้ แม้จะขายดีก็ตาม


คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

01

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

SMEs Tips

  1. ไม่แยกเงินธุรกิจออกจากเงินส่วนตัว
  2. ไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
  3. ใช้เงินไปกับเรื่องส่วนตัวมากเกินไป

แหล่งข้อมูลบทความจาก https://bit.ly/3j4yAsZ

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช