กลยุทธ์ตั้งราคา ที่เจ้าของร้านไม่เคยบอกคุณ!
โดยปกติถ้าขึ้นราคาลูกค้าจะซื้อน้อยลง แต่ถ้าลดราคาลูกค้าจะซื้อมากขึ้น แต่บางครั้งการขึ้นราคากลับทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นการลดราคากลับทำให้แบรนด์ดูด้อยค่า ทำให้ยอดขายลดลง
มีตัวอย่างกรณีขึ้นราคาแล้วกลับทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าหรูหรา การยกระดับแบรนด์ให้ดูพรีเมียม สินค้าที่ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ใช่ของทุกคน ตลอดจนสินค้าทั่วไปที่ลูกค้าซื้อคิดว่าสินค้ามีคุณภาพดีขึ้น
ราคาเป็นตัวกำหนดอนาคตและตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ ยกตัวอย่างแฟรนไชส์ไอศกรีมและชาผลไม้ MIXUE จากจีน ขายสินค้าราคาเริ่มต้น 15-50 บาท โดยทั่วไปถือเป็นการตั้งราคาที่ถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ ในตลาด
ทำให้ขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากขึ้น เพราะราคาต่ำทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น มีโอกาสที่จะขยายสาขาได้มากขึ้น ปัจจุบัน MIXUE มีสาขาในไทยมากกว่า 250 แห่ง และเกือบ 40,000 แห่งทั่วโลก
ซุนอิจิ อัตสึมิ ที่ปรีกษาเชนร้านอาหารชื่อดังจากญี่ปุ่น ได้อธิบายเงื่อนไขของการสร้างร้านอาหาร หรือขยายสาขาเป็นหลักพัน หลักหมื่นสาขา ดังนี้
1. คุณสมบัติของสินค้า
ต้องเป็นสินค้าที่คนส่วนใหญ่กว่า 80% สามารถใช้งานหรือบริโภคได้เกือบทุกวัน ถ้าเป็นอาหารต้องเป็นเมนูที่คนทั่วไปทานได้ประมาณ 300 วัน/ปี ไม่ใช่เมนูที่อยากทานนานๆ ครั้ง ซึ่งสินค้าที่คนทั่วไปทานได้ไม่เบื่อ เห็นแล้วอยากกินอยากได้ทันที เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวราดแกง กระเพรา ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ฯลฯ
2. ราคาขายสินค้า
ราคาขายสินค้าถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า เจ้าของร้านต้องตั้งราคาที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า จะได้ตัดสินใจซื้อได้ในทันที ที่สำคัญราคาต้องมีความคงที่ เพื่อสร้างความเชื่อใจให้กับลูกค้า ราคาต้องไม่ผันผวนตามกาลเวลา และราคาเท่ากันทุกสาขา ยกตัวอย่างร้านอาหารสุกี้ตี๋น้อย ขายบุฟเฟต์ราคาเริ่มต้น 219 บาท/คน ถือเป็นราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกกว่าคุ้มค่า เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง ช่วยให้ขยายสาขาได้เร็ว ปัจจุบันมีจำนวน 87 สาขาทั่วประเทศ
3. จำนวนประชากร
จำนวนประชากรหรือความหนาแน่นของคนในพื้นที่ในการเปิดร้านหรือขยายสาขา มีความสำคัญอย่างมากสำหรับร้านที่มีหลายสาขา โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์ ยกตัวอย่าง แฟรนไชส์ MIXUE ในจีน ประสบความสำเร็จจากการเปิดร้านในเมืองเล็กๆ ที่มีคนแค่ 20,000-30,000 คน
อีกหนึ่งตัวอย่างแฟรนไชส์ในประเทศไทยอย่าง “คาเฟ่ อเมซอน” เงื่อนไขการขยายแฟรนไชส์แต่ละสาขา ทำเลนั้้นๆ ต้องมีจำนวนประชากรสัญจรผ่านไม่น้อยกว่า 3,000 คน/วัน เพราะสามารถการันตีได้ว่าสาขานั้นจะทำยอดขายได้โดยไม่ขาดทุน
ซุนอิจิ อัตสึมิ ผู้เชี่ยวชาญเชนร้านอาหารจากญี่ปุ่น ยังบอกว่า โดยทั่วไปลูกค้าจะรู้สึกว่าซื้อของถูกเมื่อตั้งขายราคาต่ำกว่าท้องตลาดประมาณ 30% และบริษัทที่มีกำไรสูงๆ ไม่ใช่แบรนด์สินค้ามีความหรู้หรา แต่เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นตลาดมวลชน
ตัวอย่างศิลปะการตั้งราคาขายแฮมเบอร์เกอร์
สมมติว่าคุณกำลังจะเปิดร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ มีลูกค้า 4 ประเภท แต่ละคนมีกำลังจ่ายไม่เท่ากัน
- คนแรกยอมจ่ายสูงสุด 55 บาท
- คนที่สองยอมจ่ายสูงสุด 50 บาท
- คนที่สามยอมจ่ายสูงสุด 45 บาท
- คนที่สี่ยอมจ่ายสูงสุด 40 บาท
นั่นแสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณขายราคาเท่ากับหรือต่ำกว่าที่ลูกค้ายอมจ่าย พวกเขาจะซื้อ แต่ถ้าแพงกว่านั้น พวกเขาจะไม่ซื้อ
สมมติต้นทุนการทำเบอร์เกอร์อยู่ชิ้นละ 10 บาท ยังไม่รวมค่าเช่า ค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ถ้าคุณตั้งราคาขายเบอร์เกอร์ในร้าน
ตั้งราคาขาย 55 บาท จะมีคนซื้อแค่คนเดียว จะได้กำไร 45 บาท
- ถ้าลดราคาเหลือ 50 บาท จะมีคนซื้อ 2 คน จะมีกำไรเพิ่มเป็น 80 บาท
- ถ้าลดดราคาลงมาอีกเหลือ 45 บาท จะมีคนซื้อ 3 คน จะมีกำไร 105 บาท
- ถ้าลดราคาเหลือ 40 บาท ทั้ง 4 คนจะซื้อ จะมีกำไร 120 บาท
นั่นแสดงให้เห็นว่ากำไรสูงสุดของร้านคุณอยู่ที่ 120 บาท ถ้าคุณอยากขายเบอร์เกอร์ให้ได้กำไรมากๆ ก็ให้ตั้งราคา 40 บาท/ชิ้น
อีกหนึ่งตัวอย่างของแฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดอเมริกาในจีน เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมแมคโดนัลด์นิยมทำโปรโมชันแจกคูปองแทนการลดราคาตรงๆ เพราะว่าแมคโดนัลด์ต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้าและกำไร
สมมติว่าแมคโดนัลด์มีเบอร์เกอร์ 3 เมนู คือ ดับเบิ้ลฟิเล่โอฟิช แมคชิคเก้น และบิ๊กแมค ราคาขายทุกชิ้นอยู่ที่ 25 หยวน แมคโดนัลด์ทำคูปองแมคชิคเก้นราคา 20 หยวน ฟรีน้ำอัดลมแก้วเล็ก และคูปองบิ๊กแมคราคา 15 หยวน ไม่รวมเครื่องดื่ม
ถ้าลูกค้าคนแรกซื้อดับเบิ้ลฟิเล่โอฟิชราคาเต็ม 25 หยวน ลูกค้าคนที่สองใช้คูปองซื้อแมคชิคเก้น 20 หยวน ส่วนลูกค้าคนที่สามใช้คูปองบิ๊กแมคราคา 15 หยวน โดยที่ต้นทุนเบอร์เกอร์ทุกชิ้น 5 หยวน จะทำให้แมคโดนัลด์มีกำไรรวม 45 หยวน
นั่นแสดงให้เห็นว่าแมคโดนัลด์ขายสินค้าชนิดเดียวกันในราคาที่ต่างกันให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือเรียกว่า “การเลือกปฏิบัติด้านราคา” ลูกค้าที่จ่ายแพงราคาเต็มไม่ต้องเสียเวลาเหมือนกับคนที่ใช้คูปอง บางครั้งมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นเดียวกับการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่าการซื้อนาทีสุดท้าย
แถวราคาสินค้ากับการตัดสินใจซื้อ
แถบราคาในร้านสะดวกซื้อมี 4 อย่าง
- ราคาเริ่มต้น ราคาถูกที่สุดในกลุ่มสินค้านั้น
- ราคาสูงสุด ราคาแพงที่สุดในกลุ่มสินค้านั้น
- แถบราคาหลัก ช่วงราคาที่มีสินค้าวางขายอยู่จริง
- ราคาที่ผู้บริโภครับรู้ ราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่คิดว่าเหมาะสม
ยกตัวอย่างน้ำอัดลมที่ขายร้านสะดวกซื้อ
- ราคาเริ่มต้น 7 บาท เป็นราคาที่ถูกสุดในร้าน
- ราคาสูงสุด 40 บาท เป็นราคาที่ขายแพงสุดในร้าน
- แถบราคาหลัก 7-40 บาท เป็นช่วงราคาทั้งหมดที่ขายในร้าน
- ราคาที่ผู้บริโภครับรู้ 10-35 บาท เป็นราคาที่ลูกค้าส่วนใหญ่คิดว่าน้ำอัดลมขายราคาเท่านี้
ถ้าเจ้าของร้านอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าซื้อน้ำอัดลมแล้วคุ้มค่า ก็สามารถตั้งราคาให้ต่ำกว่าราคาที่ผู้บริโภครับรู้ได้ เช่น ถ้าลูกค้าทั่วไปคิดว่าน้ำอัดลมควรขายราคา 10-35 บาท ก็ให้ตั้งราคา 8-30 บาท จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ของดีราคาถูก
แถบราคายังช่วยให้ผู้ประกอบการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย เช่น ถ้าคุณไปสำรวจตลาดแล้วพบว่า
- น้ำอัดลมยี่ห้อ A ราคา 15 บาท
- น้ำอัดลมยี่ห้อ B ราคา 25 บาท
- น้ำอัดลมยี่ห้อ C ราคา 35 บาท
แต่ไม่มีน้ำอัดลมยี่ห้อไหนที่ขายราคา 20 บาท นี่แหละคือช่องว่างในตลาดที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปทำตลาดได้ ที่สำคัญก็คือ แถบราคายังสามารถบ่งบอกสถานะร้านค้าด้วยว่าเป็นร้านค้าระดับไหน ถ้าแถบราคาสินค้า 40-150 ไม่มีสินค้าราคาถูก แสดงว่าเป็นร้านค้าระดับไฮเอนด์ ขายสินค้าคุณภาพสูง
การเลือกปฏิบัติด้านราคา แบ่งได้ 3 ระดับ ได้แก่
- การเลือกปฏิบัติด้านราคาที่สมบูรณ์ คือ การคิดราคาสินค้าชนิดเดียวกันต่างกัน ยกตัวอย่างเปรียบเทียบราคาที่นั่งบนเครื่องบินชั้นประหยัด คนที่จองล่วงหน้า 3 เดือนจะได้ราคาถูกกว่าคนที่ในวันเดินทาง แม้ว่าจะเป็นที่นั่งแบบเดียวกัน
- การตั้งราคาตามปริมาณการซื้อ คือ การให้ส่วนลดกับลูกค้าเมื่อซื้อในปริมาณมาก ยิ่งซื้อมาก ราคาต่อชิ้นก็ยิ่งถูกลง การตั้งราคาในกรณีแบบนี้เรามักจะเห็นได้ในหลายธุรกิจ
- อย่างล่าสุดร้านอาหารบุฟเฟต์ “สุกี้ ตี๋น้อย” “ลัคกี้ สุกี้” หรือ “โบนัส สุกี้” ตั้งราคาบุฟเฟต์ 219 บาท/คน ยังไม่รวม Net แต่ถ้ามา 2 คน จ่าย 1 ฟรี 1 เพราะร้านอาหารเหล่านี้ต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เข้าร่วมโปรโมชัน เป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
- การกำหนดราคาตามกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน การตั้งราคาแบบนี้เหมือนกับเป็นการให้ส่วนลด ธุรกิจไม่ต้องการมุ่งหวังกำไร แต่เป็นการช่วยเหลือสังคม ยกตัวอย่างวันเด็ก หรือวันแม่ รถไฟฟ้าให้เด็กและแม่นั่งรถไฟฟ้าฟรี หรือเข้าชมสถานที่สำคัญๆ ฟรี หรือดูหนังช่วงกลางสัปดาห์ราคาจะถูก เพราะต้องการให้ส่วนลดกับนักเรียน นักศึกษา
กลยุทธ์ในการตั้งราคาสินค้า
Philip Kotler นักการตลาดที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการตลาดยุคใหม่ โดยเฉพาะด้านกลยุทธ์การตั้งราคา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันทางธูรกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Kotler ได้นำเสนอแนวคิดหลักในการตั้งราคาไว้ 3 แนวทาง ได้แก่
1. การตั้งราคาตามคุณค่าลูกค้า
ธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่ง คุณค่าที่ลูกค้ารับรู้คือเพดานของการตั้งราคา ดังนั้น สิ่งที่ลูกค้าคิดว่ามีค่าจะกลายเป็นราคาสูงสุดที่เราเรียกเก็บได้ ยกตัวอย่างการตั้งราคาไอโฟน ทำให้แอปเปิลสามารถทำกำไรได้มหาศาล เพราะราคาที่ตั้งไม่ได้มาจากต้นทุนการผลิต แต่มาจากคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ และคุณค่าทางจิตใจที่ลูกค้ามีให้กับแบรนด์ ไม่ใช่ราคาวัตถุดิบ
2. การตั้งราคาตามการแข่งขัน
ถ้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกันหรือเหมือนกันทุกอย่าง การตั้งราคาขายจะใช้เพดานของคู่แข่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เพราะในความเป็นจริงแทบจะไม่มีสินค้าที่เหมือนกันทุกอย่าง ดูได้จากน้ำดื่มขวดใน 7-Eleven รสชาติยังไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสินค้าจะไม่เหมือนคู่แข่งทั้งหมด แต่ราคาของคู่แข่งยังส่งผลต่อการตั้งราคาของเราอยู่ดี
ยกตัวอย่าง ผู้ให้บริการมือถือ AIS, True, DTAC ขายแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มัก กำหนดราคาใกล้เคียงกัน เช่น โปรรายเดือน 299 บาท ให้ความแรงเน็ตประมาณ 10–15 GB หรือโทรฟรีจำนวนหนึ่ง ซึ่งหากค่ายใดค่ายหนึ่งลดราคา อีกค่ายก็มักจะมีโปรฯ ที่คล้ายกันออกมาทันที เพื่อรักษาฐานลูกค้า
3. การตั้งราคาตามต้นทุน
เป็นวิธีที่ตัดสินใจง่ายที่สุด เพราะโดยทั่วไปต้นทุนการผลิตคือระดับราคาขายต่ำสุดที่จะทำได้ ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้มักพบในตลาดสินค้าขายส่ง แต่ถ้าเป็นสินค้าขายตรงถึงมือผู้บริโภค มักจะตั้งราคาตามคู่แข่งและตามที่ลูกค้าเห็นคุณค่า
แต่ที่น่าสนใจก็คือ หลายธุรกิจกำหนดราคาเป้าหมายเอาไว้ก่อน แล้วค่อยหาวัตถุดิบที่เหมาะสมภายในกรอบราคานั้น ยกตัวอย่าง แฟรนไชส์ไอติม MIXUE จากจีน ปัจจุบันมีมากกว่า 45,000 สาขาทั่วโลก ขายสินค้าราคาถูกเริ่มต้น 15-50 บาท MIXUE ตั้งราคาเป้าหมายไว้ก่อน เลือกใช้วัตถุดิบที่หาง่าย ช่วยให้ต้นทุนต่ำจนสามารถแข่งขันได้ แม้รสชาติจะไม่เป็นเลิศ แต่ราคาจับต้องได้ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าตลาด Mass ได้อย่างกว้างขวาง
หลักการทำ “กำไร” ให้ธุรกิจ
เป้าหมายของการทำธุรกิจ คือ กำไร แต่การได้กำไรจะต้องมี 3 สามอย่าง คือ ราคา ยอดขาย และต้นทุน
กำไร = (ราคา x ยอดขาย) – ต้นทุน
ราคาคือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกำไรมากที่สุดและสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วที่สุด เพราะการเพิ่มยอดขายต้องมาจากหลายปัจจัย ส่วนการลดต้นทุนก็ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้น ราคาจึงเป็นตัวแปรเดียวที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที
ยกตัวอย่าง เปิดร้านขายอาหารตามสั่ง (ขายกระเพรา) เมนูเดียว
- ต้นทุนคงที่ 1,500 บาท/วัน
- ขายราคา 50 บาท/จาน
- ต้นทุนวัตถุดิบ 15 บาท/จาน
- ยอดขายเฉลี่ย 80 จาน/วัน
(50 x 80) – 1,500 – (15 x 80) = 4,000 – 1,500 – 1,200 = กำไร 1,300 บาท/วัน
อัตรากำไร 1,300 หาร 4,000 x 100 = 32.5%
ถ้าหากต้องการเพิ่มผลกำไร ต้องทำ 3 วิธี คือ เพิ่มราคา ลดต้นทุน และเพิ่มยอดขาย
สรุป เมื่อคุณตั้งราคาสินค้า ไม่ได้เพียงแค่กำหนดว่าลูกค้าต้องจ่ายเท่าไหร่ แต่คุณกำลังวางทิศทางให้กับธุรกิจในระยะยาว การตั้งราคาจึงไม่ใช่แค่บวกกำไรเข้าไปอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น ต้นทุนสินค้า, คุณค่าที่ลูกค้ามองเห็น, ราคาของคู่แข่ง, การวางตำแหน่งแบรนด์ในระดับพรีเมียมหรือตลาดแมสเข้าถึงง่าย ฯลฯ
ดังนั้น การเลือกว่าจะตั้งราคาอย่างไร จึงเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ เพราะมันไม่ได้มีผลแค่วันนี้ แต่อาจส่งผลต่อการเติบโต ความยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจคุณในอนาคต
อ้างอิง
จากหนังสือถอดรหัสการตลาดแบบจีน ใช้เงินน้อยแต่คนซื้อเยอะ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)