Miniso vs Muji งานนี้ใครเจ๋งสุด!

สีสันการค้าปลีกช่วงนี้กระแสของร้านประเภทสินค้าราคาเดียวก็ดูน่าสนใจไม่น้อย www.ThaiSMEsCenter.com มองการเติบโตของการค้าปลีกเมืองไทยโดยเฉพาะในครึ่งปีแรกของ 2560 พบว่ามีอัตราการเติบโตที่ 2.8% ใกล้เคียงกับการเติบโตในปีที่ผ่านมา

โดยร้านประเภทสินค้าราคาเดียวถ้าเราเข้าไปตามห้างสรรพสินค้าจะพบว่ามีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศเปิดแข่งขันกันมากขึ้นโดยเฉพาะแบรนด์ที่เราเห็นบ่อยครั้งและชินตาอย่าง Miniso และ Muji ที่คนกลางที่ไม่ฝักใฝ่แบรนด์ใดสงสัยเหลือเกินว่าสองแบรนด์นี้เหมือนหรือแตกต่างกันมากขนาดไหน

งานนี้ใครเจ๋งสุด

ภาพจาก goo.gl/aNFVFw

สำหรับ Miniso เราอย่าเพิ่งไปงงว่าเป็นแบรนด์สัญชาติไหนระหว่างญี่ปุ่นหรือจีน ความจริงนี่คือแบรนด์ที่เกิดจากความร่วมมือของนักดีไซน์ญี่ปุ่นอย่าง Miyake Jyunya และนักธุรกิจจีน Ye Guo Fu

พูดง่ายๆก็คือก่อตั้งในญี่ปุ่นเมื่อกันยายน 2013 แต่มีผู้ร่วมก่อตั้งที่เป็นชาวจีน ก็เลยตอบคำถามนี้ได้ว่าแบรนด์ที่ดูเหมือนมาจากญี่ปุ่นแต่ทำไมมีสาขาในญี่ปุ่นแค่ 4 สาขาแต่กลับมีสาขาในจีนเกินกว่า 1,110 สาขา ก็เพราะโอกาสขยายตัวในตลาดจีนมีมากกว่ารวมถึงประเทศอื่นๆก็มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าในญี่ปุ่น

185

ภาพจาก www.miniso.com

จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็น Miniso ในหลายประเทศเช่น ฮ่องกง 25 แห่ง , มาเก๊า 4 แห่ง ยังไม่รวมกับสาขาที่กำลังจะเปิดในดูไบ เวียดนาม มาเลเซีย เกาหลีใต้ อเมริกา และอิตาลี เพราะแผนการตลาดของ Miniso นั้นบอกเลยว่าภายใน 5 ปี ต้องการที่จะมี 6,000 สาขาทั่วโลก พร้อมตั้งเป้ามีรายได้ของตัวเองใน 5 ปีว่าต้องแตะที่ 9,000 ล้านดอลลาร์

และดูเหมือนว่าแผนการตลาดของ Miniso ก็เข้าที่เข้าทางอยู่ไม่น้อยและห่างจากที่ตั้งใจอีกไม่เท่าไหร่เพราะในปีที่ผ่านมานี้ Miniso มีรายได้แตะที่ 2,000 ล้านดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย โดย Miniso ในเมืองไทยนั้นเป็นการซื้อลิขสิทธิ์ของ บริษัท ชิ่งไท่ เทรดดิ้ง จำกัด ที่แต่เดิมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนำเข้าส่งออกแต่ขอแตกไลน์มาบริหารธุรกิจแฟรนไชส์ประเดิมกับ Miniso เป็นแบรนด์แรกของบริษัท

186

ภาพจาก www.miniso.com

Miniso นั้นมีจุดแข็งตรงที่เป็นสินค้าแบบ Fast Fashion มีการเปลี่ยนตลอดเฉลี่ยแล้ว 100 รายการ/เดือน เพราะบริษัทแม่มีทีมดีไซน์มากกว่า 30 คน เรื่องนี้เลยได้เปรียบมาก และราคาสินค้าของ Miniso นั้นไม่ใช่ราคาเดียวกันทั้งร้านแต่เริ่มที่ 39 บาทไปจนถึง 699 บาทแต่ราคากลางๆอย่าง 69 นั้นยอดขายดีที่สุด และความหลากหลายของสินค้าที่มากกว่า 2,500 รายการก็ดึงดูดใจนักช็อปได้อย่างดีทีเดียว

187

ภาพจาก www.miniso.com

เฉลี่ยคนเข้าร้าน Miniso ทั้ง 24 สาขาในประเทศไทยนั้นประมาณ 200-300 คน/สาขา ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 400-500/บิลถ้าดูจากการเติบโตแบบแฟรนไชส์ที่ไปไกลถึง 56 ประเทศทั่วโลกกับสาขากว่า 1,400 แห่งก็ดูจะกินขาดคู่แข่งรายเล็กๆได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

188

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand

แต่คู่แข่งในตลาดค้าปลีกอย่าง MUJI หรือชื่อเต็มๆคือ มูจิรุชิ เรียวฮิน (Mujirushi Ryohin) ที่ถือว่าเก๋าในวงการนี้เพราะก่อตั้งมานานกว่า 37 ปี สาขาทั่วโลกตอนนี้ 855 แห่ง อยู่ในญี่ปุ่น 420 สาขา เจ้าของแบรนด์ก็คือ บริษัท เรียวฮินเคคาขุ จำกัดที่มี ซาโตรุ มัทสึซากิ เป็นประธานกรรมการผู้จัดการ MUJI นี้เข้ามาตลาดเมืองไทยเกือบ 10 ปีก่อนและได้พันธมิตรอย่างเครือเซ็นทรัลที่ช่วยทำให้การตลาดของแบรนด์ MUJI ในประเทศไทยเติบโตรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งตอนนี้มีสาขาในประเทศไทยรวม 15 แห่ง ตรงนี้ถือว่าสูสีกับ Miniso

189

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand

แต่ถ้านับเรื่องการตลาดถือว่าแข็งแกร่งแบบลึกๆเพราะบริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัดวางแผนการพัฒนาแบรนด์ไปไกลถึงปี 2020 ที่มีแผนปรับพื้นที่ร้านค้าให้มากขึ้น

รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสินค้าที่ Miniso เองก็มีความถนัดทำให้ MUJI ก็ต้องทุ่มการตลาดเข้าสู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน และความท้าทายอีกอย่างของ MUJI คือการปรับราคาสินค้าในเมืองไทยให้เท่ากับที่ญี่ปุ่นซึ่งตอนนี้เขายอมรับเลยว่าสินค้าเมืองไทยนั้นราคาสูงกว่าในญี่ปุ่น 10-20% เนื่องจากเรื่องภาษีนำเข้าเป็นหลัก

190

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand

ถ้าดูงบเรื่องการพัฒนาแบรนด์ของ MUJI ก็นับว่าน่ากลัวแทนคู่แข่งเหมือนกันบริษัทแม่ตั้งเป้าใช้เงินกว่า 10,000 ล้านเยนเพื่อขยายสาขา พัฒนาสินค้าและพัฒนาระบบไอที การตั้งเป้าของ MUJI ยังรวมเรื่องการขยายสาขาที่ในญี่ปุ่นตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่ม 15-20 สาขา/ปี

สำหรับในประเทศไทยก็วางแผนไว้ 1-2 สาขา/ปี และพร้อมกันนี้ต้องมีการเติบโต 10% ต่อเนื่องทุกปีไปจนถึงปี 2020 รายได้ของ MUJI ในปีที่ผ่านมานั้นอยู่ที่ 332,500 ล้านเยน กับสินค้าขายดีจากทุกสาขาทั่วโลกนั้นคือกลุ่มเครื่องเขียน สุขภาพความงาม และเฟอร์นิเจอร์

191

ภาพจาก www.facebook.com/muji.thailand

สำหรับเรื่องการลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์นั้นทางทีมงานได้ติดต่อสอบถามไปยังทางแอดมินเพจเฟสบุ๊คของ MUJI ได้คำตอบว่าในขณะนี้ยังไม่ได้เปิดขายระบบแฟรนไชส์การลงทุนที่เกิดขึ้นเป็นการลงทุนของทางบริษัทเองล้วนๆ ส่วนของ Miniso เองสาขาที่เปิดคือการลงทุนของบริษัทเองแต่ Miniso ก็มีนโยบายและแผนการณ์ตลาดเรื่องการขายแฟรนไชส์เช่นกัน

แต่ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการคนที่สนใจธุรกิจของ Miniso สามารถส่งรายละเอียดสถานที่จะเปิด, จังหวัด, ชื่อ เบอร์โทรติดต่อกลับ ไปที่ E-mail: minisoth.franchise@gmail.com หากทาง Miniso ดำเนินการพร้อมเมื่อใดก็จะแจ้งความเคลื่อนไหวกลับไปยังผู้ที่ติดต่อเข้ามาอีกที

ดังนั้นเมื่อเทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์แล้วถือว่าทั้งสองค่ายเป็นสินค้าราคาเดียวในเกรดพรีเมี่ยมที่ต่างก็ใช้เรื่องนวัตกรรมเข้ามาทำการตลาดและมีแผนขยายสาขาในรูปแบบของตัวเอง

แต่ด้วยความเก่าแก่ของ MUJI ที่มากกว่าจึงดูน่าเกรงขามแต่ Miniso ก็เป็นคลื่นลูกหลังที่ใช้ดีไซน์สินค้าเข้าแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างดี สงครามช้างชนช้างแบบนี้ในฐานะลูกค้าธรรมดาก็รอเก็บตกโปรโมชั่นและแพคเกจอีกมากมายที่เชื่อว่าน่าจะงัดมาสู้กัน โดยเฉพาะปีหน้าที่คาดว่าเศรษฐกิจเมืองไทยจะดีกว่านี้

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด