5 ตลาดโบราณคิดใหม่ทำใหม่ กำไรยังสวยงาม

การทำธุรกิจสำคัญคือการตั้งโจทย์สิ่งที่ยากคือจะหยิบประเด็นไหนมาเป็นกำไรได้ตามต้องการ หลายคนมองหา สินค้าใหม่ๆ หลายคนมองถึงรูปแบบบริการที่ยังไม่เคยมีมาก่อน

แต่หากเราใช้หลักการตลาดที่เรียกว่า “จุดแข็งของสังคม” เราจะพบว่าในประเทศไทยที่ได้ชื่อว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนาน ดังนั้นการหยิบเอาเรื่องราวของอดีตมาเป็นเหตุผลในการทำธุรกิจนอกจากจะสร้างรายได้ที่ดียังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้สนใจถือเป็นการเพิ่มชื่อเสียงให้ธุรกิจของเราเติบโตได้เร็วขึ้นอีกด้วย

และรูปแบบของกาลเวลาที่แปรมาเป็นธุรกิจอย่างได้ผลคงหนีไม่พ้นเรื่องของตลาดโบราณที่ปัจจุบันมีอยู่ในหลายจังหวัดทั้งที่เปิดมานานและเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ซึ่งแต่ละที่มีเสน่ห์และสีสันที่น่าสนใจมาก

ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com ได้รวบรวมมาให้ดูกัน 5 ตลาดและมองว่านี่คือการสร้างธุรกิจที่ดีในระยะยาวและน่าจะเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว

1.เมืองมัลลิกา กาญจนบุรี

สินค้าใหม่ๆ

เป็นตลาดโบราณล่าสุดที่เปิดตัวกันเมื่อเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา เมืองมัลลิกา ที่กาญจนบุรีนี้เป็นแนวคิดจากนักธุรกิจรายใหญ่ของกาญจนบุรีที่ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท

เนรมิตพื้นที่กว่า 60 ไร่ให้ย้อนยุคเหมือนหลุดเข้าไปใน ร.ศ.124 ถือเป็นช่วงที่รัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาส และชื่อมัลลิกานี้ก็คือชื่อของต้นแม่น้ำอิระวดีที่เป็นเหมือนแหล่งรวมอารยธรรมโบราณในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ไว้เป็นอย่างดี

cc10

กิจกรรมน่าสนใจที่มีในเมืองมัลลิกาหลังจากซื้อบัตรผ่านประตูเข้ามา (คนละ 250 บาท) สามารถเช่าชุดไทยเดิมได้โดยมีราคาแตกต่างกันไปตั้งแต่ 200 300 และ 500 บาท

cc11

จากนั้นก็แลกเปลี่ยนเหรียญเป็นเงินสตางค์เพื่อใช้ซื้อสินค้าภายใน โดยกำหนดไว้ 5 บาท = 1 สตางค์ และเมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้ามาก็เหมือนหลุดมาอยู่ในสังคมไทยย้อนยุคที่มีเรือนไทย ร้านอาหารไทย ร้านขนมไทย ท้องนา เรือพายขายสินค้า

แน่นอนว่านีคือการบูรณาการเอาวิถีชีวิตยุคเก่ามาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ที่ทำให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมเป็นการกระจายรายได้และสร้างความน่าสนใจได้เป็นอย่างดีทีเดียว

cc12

ปัจจุบันเมืองมัลลิกาเปิดดำเนินการมาประมาณ 2 เดือนแต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากกลายเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกาญจนบุรีที่บรรดาไกด์ทัวร์ต่างลิสต์ไว้ในรายการท่องเที่ยว

โดยการจ้างคนงานปัจจุบันมีกว่า 400 คนทำหน้าที่แตกต่างกันและคาดว่าจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวตลาดเก่าในโลกยุคใหม่ที่เฟื่องฟูได้มากขึ้นเรื่อยๆ

2.ตลาดย้อนยุค นครชุม กำแพงเพชร

cc7

ภาพจาก goo.gl/5eiCuU

ตลาดนครชุมแห่งนี้เกิดจากแนวคิดที่ต้องการดึงเอาวัฒนธรรมยุคดั้งเดิมของกำแพงเพชรให้หวนคืนมาเพราะบริเวณนครชุมในอดีตเคยเป็นอาณาจักรใหญ่แห่งแม่น้ำปิงที่รุ่งเรืองราวพุทธศักราช 1700

แต่เนื่องจากถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งจนผู้คนต้องย้ายถิ่นฐานไปสร้างเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกหรือก็คือเมืองกำแพงเพชรในปัจจุบันนี่เองในตลาดแห่งนี้จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงความรู้ที่ได้รับความนิยมอย่างดี

cc8

ภาพจาก goo.gl/eWC0tk

โดยบรรยากาศในตลาดจะมีพ่อค้า แม่ค้าแต่งกายด้วย ชุดไทยนำอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวนครชุมหรือ ร่วมสมัยวางจำหน่ายรวมถึงศิลปหัตถกรรม อาทิ การจักสานไม้ไผ่ งานผีมือใบตองหรือการวาดรูป ระบายสี มุ่งเน้นการ แต่งกายพื้นบ้าน จึงเป็นสีสันที่ทำให้ทั้งคนไทยและต่างชาตินิยมเข้ามาเดินกันอย่างเนืองแน่นมากๆ

ตลาดแห่งนี้จะจัดบริเวณสามแยกนครชุม โดยจัดวางแคร่ไม่ไผ่เป็นที่วางจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าต่างๆ ต่อเนื่องบนถนน ซึ่งปิดให้เป็นถนนคนเดิน ความยาวประมาณ 200เมตร เปิดทุกๆศุกร์ เสาร์ อาทิตย์แรกของเดือน ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

3.ตลาดย้อนยุคปากพนัง นครศรีธรรมราช

cc5

ภาพจาก goo.gl/yCRTvE

ปากพนัง ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยอำเภอปากพนังเป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของทะเลฝั่งตะวันออก จึงเป็นแหล่งที่คนมาจับจ่ายใช้สอยมาแต่ไหนแต่ไร

เมื่อมีแนวคิดแห่งการสร้างตลาดย้อนยุคเพื่อสะท้อนบรรยากาศในอดีตของวิถีชีวิตชาวใต้จึงถือเป็นตลาดโบราณที่น่าสนใจไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆแต่อย่างใด โดยบรรยากาศจะครึกครื้นตั้งแต่ปากทางเข้าที่มีนักดนตรีมาขับกล่อมเพลงไทยๆให้เข้ากับยุคสมัย

cc6

ภาพจาก goo.gl/SnOSkg

ภายในตลาดพ่อค้าแม่ค้าต่าก็มีการเทียบเคียงเสมือนอยู่ในยุคก่อนจริงๆ เหล่าพ่อค้าแม่ค้าบางคน ต่างพากันแต่งกายย้อนยุค ส่วนภาชนะที่ใส่ขนมจะเป็นเครื่องปั้นดินเผา ใบตอง หมาจาก(ภาชนะทำจากใบจาก) ใบบัว หากเป็นถุงจะใช้เพียงถุงกระดาษเท่านั้น

การเดินทางมาที่ตลาดย้อนยุคแห่งนี้สะดวกมาก หากมาจากตัวเมือง เดินทางเพียงแค่ 30 นาที ปตามป้ายบอกทางสู่เรือนจำปากพนัง เพราะรอบๆ เรือนจำของทุกวันอาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์จะปรับสภาพพื้นที่เป็นตลาดย้อนยุค@ปากพนัง โดยเปิดตั้งแต่ 14.00 – 20.00 น.

4.ตลาดน้ำโบราณบางพลี สมุทรปราการ

cc3

ภาพจาก goo.gl/hBLW6M

ตลาดโบราณบางพลี เป็นตลาดเก่าแก่ริมคลองสำโรง พื้นตลาดเป็นพื้นไม้ สามารถเดินติดต่อกันได้ยาวกว่า 500 เมตร เดิมชื่อตลาด “ศิริโสภณ” สันนิษฐานว่าชาวจีนเข้ามาเปิดร้านในตลาดนี้ราว พ.ศ. 2400 และเมื่อมีแนวคิดสร้างตลาดเพื่อดึงดูดความน่าสนใจก็ยังคงเอกลักษณ์ความเก่าแก่ทุกอย่างเอาไว้ผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

โดยระยะทางของตลาดนี้ที่ทอดยาวกว่า 1 กิโลเมตร ตลอดแนวสองฝั่งของคลองสำโรง มีสินค้าเก่าแก่มากมายทั้งอาหารคาวหวาน ของใช้ ของตกแต่งบ้าน ของฝาก ร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า

cc4

ภาพจาก goo.gl/T1J2JM

นอกจากนี้ยังมีวิวทิวทัศน์ของคลองสำโรงที่ประดับประดาไปด้วยเรือขายอาหาร ขนม ผลไม้ตามฤดูกาลของชาวบางพลีที่พายไปมา และเรือที่ชาวบ้านยังใช้สัญจรไปมาในชีวิตประจำวัน

 

ไฮไลต์อีกอย่างเมื่อเดินมาถึงกลางตลาดมีการจัดโซนภาพเก่าเล่าเรื่อง ที่มีภาพตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตลาด เครื่องมือแบบโบราณ ที่ได้รับบริจาคมาจากคนเก่าคนแก่ และเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จึงเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจไม่แพ้เรื่องสินค้าภายในตลาดกันเลยทีเดียว

5.สามชุกตลาดร้อยปี สุพรรณบุรี

cc1

ภาพจาก goo.gl/vO2uTc

บ้านสามชุกในอดีตถือเป็นท่าเรือการค้าที่สำคัญและเป็นนย์กลางของจังหวัด ผู้ที่เดินทางจากตัวเมืองไปอำเภออื่นๆจำเป็นต้องหยุดพักที่สามชุก เพราะได้เวลาค่ำพอดี

นอกจากนั้นยังเป็นที่ที่พวกกระเหรี่ยงนำของจากป่า บรรทุกเกวียนมาขายให้พ่อค้าทางเรือ และซื้อของจำเป็นกลับไป ณ ที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเสน่ห์ของการค้าและการดึงเอาสีสันในอดีตให้หวนกลับมาก็ถือว่าเป็นธุรกิจตลาดโบราณที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยทีเดียว

cc2

ภาพจาก goo.gl/DvUCbB

โดยสีสันของตลาดนี้ยังคงเป็นตลาดเก่าที่สร้างด้วยไม้ให้เรียงติดกัน รวมถึงสถาปัตยกรรมโบราณ เชิงชายไม้แกะสลักร้านขายยาจีนและยาไทยโบราณ ร้านกาแฟโบราณ ร้านถ่ายรูปโบราณ

และร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องใช้ ของฝาก ที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นเมืองท่าได้น่าสนใจยิ่งนักและจากการส่งเสริมเชิงอนุรักษ์นี้ทำให้ตลาดแห่งนี้ได้รับรางวัลมรดกโลก จากยูเนสโกซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิใจและใช้เป็นแม่เหล็กสำคัญสำหรับการดึงดูดนักท่องเที่ยวตั้งชาวไทยและต่างประเทศให้มาเยือนที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

การทำธุรกิจใดๆก็ตามบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องตามยุคสมัยไปทั้งหมด มีเสน่ห์ของอดีตอีกมากมายที่ยังเป็นช่องว่างให้นักลงทุนสามารถจับจุดเอามาเป็นไฮไลต์ในการสร้างสรรค์

แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจในสภาพความเป็นวัฒนธรรมเพื่อเอามาถ่ายทอดได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกของคนทั่วไปไม่ว่าจะนักท่องเที่ยวชาวไทยหรือต่างประเทศก็ตาม

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด