เปรียบเทียบการลงทุน ธุรกิจส่วนตัว Vs เล่นหุ้น

ในยุคนี้ไม่มีใครปฏิเสธว่าทำงานแล้วไม่ต้องการเงิน แม้เงินจะไม่สามารถซื้อทุกสิ่งทุกอย่างได้แต่อย่างน้อยการมีเงินก็ทำให้เราอุ่นใจได้มากกว่าการไม่มีเงิน

ทั้งนี้หลายคนจึงมีแนวคิดแบบเล่นแร่แปรธาตุว่าจะเอาเงินที่มีอยู่นี้ไปทำอะไรดีเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่าการเก็บเอาไว้เฉยๆ ทางเลือกนี้เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะหากตัดสินใจผิดพลาดแทนที่จะมีเงินมากขึ้นก็สวนทางกลายเป็นคนไม่มีเงินไปในทันที

วันนี้ www.ThaiSMEsCenter.com มี 2 ทางเลือกในการเอาเงินต่อเงินมาฝากให้พิจารณานั้นคือการใช้เงินลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวกับการใช้เงินลงทุนเล่นหุ้น ทั้ง 2 ทางนี้มีโอกาสเติบโตและได้กำไรแต่ลองมาดูข้อมูลก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด

ประโยชน์ของการลงทุนเล่นหุ้น

ธุรกิจส่วนตัว

ภาพจาก goo.gl/RwD2xt

ทุกวันนี้เราพูดถึงการใช้เงินต่อเงินที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นวิธีการหาเงินที่ชาญฉลาดมากที่สุดแต่การจะลงทุนในกองทุนหรือเลือกเล่นหุ้นนั้นมีเงินอย่างเดียวไม่ได้ต้องรู้จักองค์ประกอบของการลงทุนรูปแบบนี้ให้เข้าใจโดยละเอียดรูปแบบการลงทุนที่ใกล้เคียงกันแต่ไม่ใช่หุ้นก็เช่น กองทุนรวม พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น ยิ่งถ้าเราตามข่าวจะเห็นว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยมรวยทางลัดโดยหันมาศึกษาการเล่นหุ้นกันมากขึ้น ลองมาดูข้อดี 3 ประการของการเล่นหุ้นว่ามีอะไรบ้าง

1.ให้ผลตอบแทนที่ดี

ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังตกสะเก็ดแนวโน้มว่าจะดีนั้นมีสัญญาณตอนไหนก็ยังไม่ทราบการฝากเงินไว้ในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีซักเท่าไหร่สำหรับผลตอบแทน แต่การลงทุนในหุ้นอย่างถูกวิธีสามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าทั้งจาก Capital gain และจากเงินปันผลในระยะยาว

2. ดูแลจัดการง่าย

ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการถือหุ้นไม่ว่าจะถือไว้นานซักแค่ไหนก็ตาม จะถือไว้ตลอดชีวิตเลยก็ได้ อยากขายทิ้งเมื่อไหร่ก็สามารถขายได้ทันที ไม่มีสัญญาผูกมัดใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถลงทุนซื้อขายได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ร่วมทีมเหมือนการทำธุรกิจ

3.มีความโปร่งใส

เราสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เช่นรายงานประจำปีของบริษัทเพื่อวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจลงทุนได้ ไม่มีใครบังคับให้เรารีบลงทุน สามารถใช้เวลานานเท่าไหร่ในการศึกษาก่อนลงทุนก็ได้ ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ อย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตามใช่ว่าการเล่นหุ้นจะไม่มีข้อเสีย เรื่องราคาที่ผันผวนเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเล่นหุ้นที่ทำให้บางคนถึงกับต้องล้มละลายกันเลยก็มี เนื่องจากราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดตลอดเวลา เป็นปัจจัยที่ใครก็ไม่อาจควบคุมได้จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะขาดทุนได้เช่นกันหากเราวิเคราะห์ผิดพลาดหรือมีแผนจัดการความเสี่ยงที่ไม่ดีมากพอ

และเมื่อเราได้เรียนรู้ข้อดีและข้อเสียของการเล่นหุ้นไปแล้ว ลองมาเปรียบเทียบกับการลงทุนในธุรกิจส่วนตัวบ้างโดยเราจะยก 5 ข้อดีของการทำธุรกิจส่วนตัวมาร่วมเปรียบเทียบเพื่อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

5 ข้อดี ของการลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว

we4

1.มีเวลาทำงานที่เป็นอิสระ

หากธุรกิจของเราประสบความสำเร็จแล้วสามารถเลือกที่มาทำงานตอนไหนก็ได้ หากมีธุระก็สามารถเลิกงานก่อนเวลาได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลากิจ ลากลับก่อนเหมือนเป็นพนักงานประจำแต่อย่างไรก็ดีการมีกิจการของตัวเองก็ต้องมีวินัยในการทำงานที่มากขึ้นเช่นกันมิเช่นนั้นธุรกิจที่เราลงทุนไว้ก็มีโอกาสเสี่ยงจะขาดทุนได้เช่นกัน

2.รายได้ที่เกิดขึ้นเป็นของเราเองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุนในธุรกิจของเราดังนั้นรายได้ทุกอย่างก็ควรเป็นของเราเช่นกัน แต่ทั้งนี้คำว่ารายได้ก็ยังไม่ได้หมายความถึงกำไรที่ต้องมาหักค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ออกไปให้เรียบร้อย ดังนั้นถ้ามีกำไรเหลือเท่าไหร่นั้นก็คือเงินที่เราควรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยถ้าการลงทุนนั้นไม่ได้มีหุ้นส่วนมาเกี่ยวข้อง ส่วนจะได้มากได้น้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่ทำวิธีบริหารจัดการ และการสร้างตลาดที่เราวางแผนเอาไว้

3.มีโอกาสก้าวหน้าและต่อยอดให้มั่นคงแข็งแรงได้

หลายธุรกิจเริ่มต้นมาจากเงินทุนน้อยๆ ทำจากเล็กแล้วค่อยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นเป็นเพราะช่องทางการตลาดที่ดี มีการบริหารที่เป็นมืออาชีพ การทำธุรกิจว่ากันว่าโอกาสสำเร็จกับขาดทุนนั้นมีพอๆกัน สิ่งสำคัญคือการเลือกวิธีการทำธุรกิจและการมองตลาดที่ต้องใช้ประสบการณ์และความสามารถพอสมควรทีเดียว

4.เป็นหลักประกันความมั่นคงในอนาคตได้

หลายคนที่สนใจลงทุนทำธุรกิจตัวเองส่วนหนึ่งเพราะต้องการหลักประกันในอนาคตว่าหากไม่มีงานประจำหรือว่าตกงานจะได้มีแหล่งรายได้ที่ไม่สะเทือนตัวเองนักทำให้การทำธุรกิจส่วนตัวกลายเป็นโจทย์ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและเริ่มมองหาช่องทางมากขึ้น

และดูเหมือนว่าหลายคนจะมั่นใจว่าการลงทุนธุรกิจส่วนตัวแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็น้อยกว่าการเล่นหุ้นซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าเล่นหุ้นดีกว่าหรือทำธุรกิจดีกว่าเพราะทุกอย่างก็มีความเสี่ยงในตัวเองทั้งสิ้น

5.สร้างความมั่นใจหลังวัยเกษียณหรือในยามสูงอายุ

คล้ายกับหลักประกันความมั่นคงแต่บางคนที่เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยก็หวังไว้ว่าในอนาคตยามที่ตัวเองแก่เฒ่าไปและมีผู้สืบทอดทำกิจการต่อหรือในยามที่ตัวเองทำธุรกิจไม่ไหวก็สามารถขายหุ้นในธุรกิจตัวเองให้คนอื่นทำต่อไปส่วนวัยเกษียณก็ใช้เงินที่สะสมไว้ตั้งแต่วัยรุ่นเพื่อให้บั้นปลายชีวิตไม่ต้องลำบากมากนัก

ทีนี้เราลองมาดูตารางเปรียบเทียบว่าลงทุนธุรกิจส่วนตัวVs เล่นหุ้น มีความน่าสนใจแตกต่างกันอย่างไร

การลงทุนธุรกิจส่วนตัว

we3

ข้อดี

  1. มีเวลาทำงานที่เป็นอิสระ
  2. รายได้และกำไรที่เกิดขึ้นเป็นของเรา
  3. มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในอนาคต
  4. ถ้าธุรกิจประสบความสำเร็จใช้เป็น หลักประกันความมั่นคงในอนาคตได้
  5. ถ้าธุรกิจเติบโตดีวัยเกษียณไม่ลำบากแน่นอน

ข้อเสีย

  1. เราต้องรับผิดชอบงานมากขึ้น
  2. มีโอกาสเกิดความเครียดได้
  3. มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน
  4. ต้องมีการตัดสินใจที่ดี
  5. ใช้ระยะเวลากว่าจะประสบความสำเร็จ

การลงทุนเล่นหุ้น

we6

ภาพจาก goo.gl/RwD2xt

ข้อดี

  1. ให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าเลือกหุ้นถูกตัว
  2. ดูแลจัดการง่ายเพราะมีระบบรองรับชัดเจน
  3. มีความโปร่งใสเพราะมีกฏหมายควบคุมชัดเจน
  4. มีอิสระที่สามารถทำอย่างอื่นได้มากขึ้น

ข้อเสีย

  1. ต้องรู้จักการเลือกหุ้นและวิเคราะห์หุ้นให้เป็น
  2. หากต้องการความสำเร็จที่รวดเร็วก็ต้องใช้เงินทุนที่มากขึ้น
  3. มีความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของตลาด
  4. มือใหม่มีโอกาสเสี่ยงสูงหากได้รับการดูแลจากโบรคเกอร์ไม่ดีพอ
  5. ตัวอย่างรายได้ของการลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว Vs เล่นหุ้น

การลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว

we2

ยกตัวอย่างของการลงทุนขายอาหารตามสั่ง โดยใช้หน้าบ้านของตัวเองเปิดร้านแบบไม่มีค่าเช่าพื้นที่ ขายอาหารตามสั่งทุกเมนูพร้อมเครื่องดื่ม ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่รวมค่าตกแต่งร้าน อุปกรณ์ทุกอย่างใหม่หมด และวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร ประมาณ 20,000 -30,000 บาท รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายในกรณีที่มีลูกค้าพอสมควรกับเมนูปกติที่ขายจานละ 35 บาท

โดยคำนวณว่า 1 วันขายได้ประมาณ100 จานมีรายได้ต่อวัน 3,500 (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ซึ่งแต่ละเดือนก็มีรายได้รวมประมาณ 100,000 บาท ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าหักค่าใช้จ่ายส่วนต่างซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือนกันก็อยู่ที่การบริหารจัดการถ้าจัดการได้ดีก็มีกำไรมากขึ้นในแต่ละเดือน

การลงทุนเล่นหุ้น

we7

ภาพจาก goo.gl/RwD2xt

ยกตัวอย่างที่ดีของหุ้นที่ประสบความสำเร็จเช่น SCBLIF บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ในปี2008 หุ้น SCBLIF มีราคาอยู่ที่ 145 บาท เวลาผ่านไปเพียง 5 ปีราคาหุ้น SCBLIF ได้พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 1,016 บาท (2013) นักลงทุนที่ได้ซื้อ SCBLIF เก็บเอาไว้เมื่อปี 2008 จะมีเงินเพิ่มมากขึ้นถึง 7 เท่าตัวในปี 2013 ทีนี้ว่ารายได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราซื้อหุ้นไปมากเท่าไหร่ด้วย

ทั้งนี้การเลือกรูปแบบว่าจะลงทุนส่วนตัวหรือลงทุนเล่นหุ้นก็ต้องมาชั่งใจตัวเองว่าชอบหรือต้องการแบบไหน และขอให้เลือกการลงทุนในแบบที่ตัวเองสบายใจก็จะทำให้การลงทุนนั้นเกิดคุณค่าและนำพาผลประโยชน์สูงสุดมาสู่ผู้ลงทุนได้

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด