อยากมีเงินเก็บ มันยาก! ออมเงินแบบไหน ถึงจะพอใช้จริงๆ!

คำว่า “พอใช้” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนอยู่ตัวคนเดียวไม่ต้องรับภาระอะไรรายจ่ายก็น้อย แต่บางคนครอบครัวใหญ่ค่าใช้จ่ายก็มาก แต่สิ่งที่ www.ThaiSMEsCenter.com คิดว่าทุกคนในยุคนี้มีเหมือนกันคือปัญหาเรื่อง “การออม” มีทฤษฏีการออมมากมายที่ให้เราศึกษา

แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นแค่ตำราเพราะบางทีเอามาใช้จริงไม่ได้ ยิ่งยุคเงินเฟ้อแบบนี้ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่นอกจากเก็บออมเพิ่มไม่ได้ ยังต้องเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาใช้อีกด้วย คำที่ว่าเก็บเงินมันเรื่องยาก จึงสมเหตุสมผลและทุกคนก็เข้าใจ แต่เราก็เชื่อว่าทุกคนก็ยังอยากรู้เหมือนกันว่าจะมีการออมเงินแบบไหนไหม ที่นำมาใช้ได้จริงและพอใช้จริงๆ ในยุคนี้

ตั้งเป้ากับตัวเองก่อนว่ามีเงินแค่ไหนถึงจะเรียกว่า “พอใช้”

ก่อนจะไปคิดเก็บเงินต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าสำหรับเราเงินแค่ไหน “ถึงจะพอใช้” บางคนครอบครัวรายได้รวมของสามีภรรยาประมาณ 30,000 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเรียนลูก ค่าน้ำมันในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในครอบครัว รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 ต่อเดือน

นั่นเท่ากับว่าไม่ต้องพูดถึงเงินออม เพราะแค่ใช้ให้พอเดือนก็ยากเต็มที หรือใครที่อาจมีรายได้ที่สูงกว่านี้ แต่บางทีก็มีรายจ่ายที่สูงตามด้วย หรือในบางกลุ่มที่รายได้น้อยกว่านี้แต่มีค่าใช้จ่ายมาก ก็เรียกว่าเดือนชนเดือนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่อง “เงินเก็บ” เพราะมันยากจริงๆ

จึงเป็นที่มาของการตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่าอยากมีเงินแค่ไหนเมื่อถึงช่วงอายุหนึ่ง ที่จะทำให้ “พอใช้” บางคนตั้งเป้าฉันต้องมีเงินล้านก่อนอายุ 30 บางคนบอกว่าสมัยนี้ถ้าอยู่จนถึงอายุ 60 ต้องมีเงินเก็บสัก 10 ล้านจึงจะเรียกว่าพอใช้ เป็นต้น

ตั้งเป้าแล้วตั้งทำยังไง ให้เก็บเงินได้จริง!

แค่ตั้งเป้าใครก็ทำได้ปัญหาคือ ทำยังไงให้เป็นจริง และไม่ใช่ทุกคนที่ตั้งเป้าแล้วจะทำได้ คนส่วนใหญ่เรียนจบเริ่มทำงานอายุประมาณ 22 ปี สมมุติอยากมีเงินเก็บ 10 ล้านก่อนอายุ 30 จะมีเวลาเก็บเงินแค่ 8 ปี เฉลี่ยต้องเก็บให้ได้ปีละ 1,250,000 บาท หรือเดือนละ 104,166 บาท ซึ่งบอกได้เลยว่ายาก หรือถ้าตัดตัวเลข “ก่อน 30” ออกไป แล้วคิดแค่ว่าต้องมีเงินให้ถึง 10 ล้าน สิ่งที่ต้องทำก็มี 2 เรื่องคือ การเพิ่มเงินเก็บของเราต่อเดือนให้มากขึ้น หรือเพิ่มผลตอบแทนของเงินเก็บเราให้มากขึ้น

เช่นเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 70 ปีกว่าจะถึง 10 ล้าน ถ้าอยากลดเวลาให้น้อยกว่าก็ต้องเพิ่มเงินเก็บ เช่นเก็บเดือนละ 50,000 จะใช้เวลาประมาณ 17 ปี เป็นต้น แต่ปัญหาก็คือทฤษฏีพูดได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังเป็นได้ยาก ดังนั้นอีกวิธีที่จะทำให้มีเงิน 10 ล้านได้คือการเพิ่มผลตอบแทน หมายถึงการนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ เช่นกองทุน พันธบัตร หรือหุ้นต่างๆ ยกตัวอย่างถ้าเราทำผลตอบแทนจากเงินเก็บได้ 5% ต่อปี โดยที่เราเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท เราจะลดเวลาจาก 70 ปี เป็น 33 ปี ในการแตะเงิน 10 ล้าน เป็นต้น

เก็บเงินตามทฤษฏี การเกลี่ยการบริโภค (consumption smoothing)

บอกให้เก็บเดือนละ 10,000 หรือบอกว่าให้เอาเงินไปลงทุนต่างๆ มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่คนส่วนใหญ่ทำตามไม่ได้เพราะข้อมูลระบุชัดว่า บัญชีเงินฝากในประเทศไทยรวม 109.31 ล้านบัญชีในจำนวนนี้ 95.25 ล้านบัญชี มีเงินไม่เกิน 50,000 บาทและน่าตกใจยิ่งกว่าคือคนกว่า 12.2 ล้านคน มีเงินติดบัญชีไม่ถึง 500 บาท วิธีเก็บเงินที่เป็นไปได้มากที่สุดในยุคนี้คือ
ทฤษฏีการเกลี่ยการบริโภค (consumption smoothing)

เป็นแนวคิดที่ย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยรู้หัวใจของทฤษฏีนี้คืออย่าไปกังวลเรื่องการออม มีเท่าไหร่ก็ใช้ไปก่อนหรือกระทั่งจะก่อหนี้บ้างก็ไม่เป็นไร เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคตก็ค่อยเริ่มเก็บออมเงินก้อนใหญ่แล้วใช้หนี้ให้หมดถ้าเราใช้แนวคิดนี้ในการเก็บเงินวิธีการคร่าวๆ คือ

  • ในช่วงหลังเรียนจบ หรือกำลังก่อร่างสร้างตัว เราไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บเงิน พยายามนำเงินมาใช้อย่างสมเหตุผล ทั้งนำไปลงทุน นำไปใช้อาจเหลือเก็บบ้าง แต่ต้องมีเป้าหมายว่าต้องการอะไร
  • เมื่อถึงช่วงอายุหนึ่งเช่นถึงวัย 30 ที่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวยิ่งต้องมีการวางแผนอนาคตที่ชัดเจนมีการแบ่งเงินสำหรับการออมมากขึ้นเช่นทำประกันสุขภาพ ประกันชีวิต หรือการลงทุนตามสมควรเป็นต้น
  • สิ่งสำคัญของทฤษฏีการเกลี่ยการบริโภค ไม่ได้ทำให้เราขาดวินัยในการใช้เงิน แต่ฝึกให้เรามีแผนในระยะยาว เริ่มต้นอาจไม่มีเงินเก็บ เงินเหลือ แต่เงินที่ใช้ไป จะต้องมีหวังงอกเงยหรือเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยที่เราไม่ต้องกระเสือกกระสนบีบบังคับตัวเองว่าต้องเก็บเงินเท่านั้นเท่านี้ต่อเดือน

ทั้งนี้ความสามารถในการเก็บออมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกคนที่มีความรู้ ความสามารถ จะใช้หาเงินเพิ่มได้ไม่ยาก เช่น ใครมีความสามารถในการถ่ายภาพก็สามารถรับงานถ่ายภาพตามงานต่างๆ อย่างงานรับปริญญาได้ หรือใครมีฝีมือในการทำขนมก็สามารถทำขนมมาขาย

โดยใช้ Social Media ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้ หากอาชีพเสริมที่เราทำนั้นรุ่ง รับรองว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อมีรายได้มากขึ้นที่มากกว่ารายจ่าย ก็อาจทำให้เราเก็บเงินได้มากขึ้นหรือวางแผนการใช้เงินได้ง่ายขึ้นด้วย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

0

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจติดตามได้ที่ https://bit.ly/335phDi
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3dn5dl4 , https://bit.ly/3RPeulc

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด