เทรนด์ร้านอาหาร “Talent Retention” สูตรคนเก่ง “สร้างเงินล้าน”

ปี 2568 เต็มไปด้วยปัญหามากมาย ในด้านการลงทุนที่ทุกคนบอกว่าปีนี้คือเผาจริง สะท้อนด้วยตัวเลขที่น่าตกใจในทุกมิติไม่ว่าจะค่าครองชีพที่เพิ่มสูง , ต้นทุนวัตถุดิบที่มากขึ้น , คู่แข่งที่เยอะขึ้น , พฤติกรรมลูกค้าที่จับจ่ายน้อยลง ฯลฯ ทุกตัวแปรมีผลต่อการทำธุรกิจมาก ในด้านการบริหารจัดการก็คือส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา

แต่เทรนด์ที่ธุรกิจหลายแห่งใช้ในตอนนี้คือ “Talent Retention” หรือ การรักษาผู้มีความสามารถ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Talent Management (การบริหารจัดการผู้มีความสามารถ) ที่เน้นเฉพาะกิจกรรมและกลยุทธ์เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานที่มีความสามารถสูงลาออก

ร้านอาหารที่รักษาพนักงานเก่งๆ ไว้ มีโอกาสอยู่รอดสูง?

เปิดสูตร “Share of Voice”

ถ้าไม่นับเรื่องการบริหารจัดการในฐานะเจ้าของกิจการที่ต้องมีแผนธุรกิจใช้ในภาวะฉุกเฉิน การรักษาพนักงานเก่งๆ (Talent Retention) ก็เป็นเคล็ดลับที่รักษาองค์กรให้ยั่งยืน มองดูในตัวเลขในภาคค้าปลีกและร้านอาหารที่มีอัตราการลาออก (turnover rate) สูงเฉลี่ย 30–50% ต่อปี การรักษาพนักงานเก่งไว้ยาวนานช่วยสร้างความได้เปรียบชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการสรรหา เพิ่มประสิทธิภาพบริการ หรือสร้างความภักดีจากลูกค้า ส่วนร้านอาหารที่เปลี่ยนคนบ่อยมักเผชิญกับ productivity loss สูงถึง 20–30% ในช่วงปรับตัวใหม่ ในขณะเดียวกันร้านที่เน้น retention มีกำไรสุทธิ สูงกว่า 15–25%

ถ้าดูในเชิงตัวเลขจะพบว่า Talent Retention มีผลต่อการสร้างยอดขายให้ร้านได้มาก

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการแทนที่พนักงานร้านค้าหรือร้านอาหารอยู่ที่ 50,000–100,000 บาทต่อคน
  • พนักงานที่อยู่มายาวนานช่วยลดข้อผิดพลาดในบริการได้ 40–50%
  • 60% ของลูกค้าจะเลือกใช้บริการจากพนักงานที่รู้จักหน้า
  • 30% ของพนักงานเก่ามักมีไอเดียในการแก้ไขปัญหาธุรกิจได้อย่างตรงเป้าหมาย

ทั้งนี้ Talent Retention ยังไปสัมผัสกับคำว่า “Respect” ซึ่งเป็นนโยบายการเคารพตนเองและผู้อื่นกำลังถูกนำมาปรับใช้ในธุรกิจหลายแห่ง โดยผ่านนโยบาย DEI (Diversity, Equity, Inclusion) ที่ส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน ลดอัตราการลาออก และเสริมสร้างนวัตกรรมให้ดียิ่งกว่าเดิม

กระแสของ Talent Retention กับธุรกิจในยุคปัจจุบัน?

Solopreneur เป็นทุกอย่าง

ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ เน้นการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพโดยเคารพความแตกต่างของแต่ละบุคคล เพื่อหลีกเลี่ยงอคติและส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังโฟกัสในมุมที่เจ้าของธุรกิจหรือพนักงานกล้าปฏิเสธงานที่เกินขีดจำกัด เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ ซึ่งมีตัวอย่างของหลายธุรกิจที่นำเอา Talent Retention มาใช้อย่างได้ผลยกตัวอย่าง เช่น

1. Sizzler Thailand

เทรนด์ร้านอาหาร
ภาพจาก https://citly.me/f4wcl

แบรนด์สเต๊กและบุฟเฟต์ชื่อดังที่เน้นวัฒนธรรมองค์กรแบบ “ครอบครัว” จ่ายเงินเดือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 20% และมีโปรแกรมพัฒนาพนักงาน ทำให้ turnover rate ต่ำเพียง 15–20% ต่อปี (เทียบกับอุตสาหกรรมร้านอาหารที่ 40–60%) ส่งผลให้ประหยัดต้นทุน HR กว่า 100 ล้านบาทต่อปี

2. 7-Eleven (CP All)

เครือร้านสะดวกซื้อที่มีพนักงานประจำสาขายาวนานเฉลี่ย 3–5 ปี ผ่านนโยบายสวัสดิการเช่น โบนัสตามผลงานและการฝึกอบรมออนไลน์ Turnover rate ราว 25% (ต่ำกว่าอุตสาหกรรมค้าปลีก 40%) ทำให้ลดค่าใช้จ่ายฝึกพนักงานใหม่ลง 15% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ยอดขายรวมปี 2025 พุ่งสูงถึง 350,000 ล้านบาท

3. Jay Fai (ร้านกุ้งเผาตำนาน)

ร้านมิชลินสตาร์ในกรุงเทพฯ ที่เชฟหลักและทีมงานหลักอยู่ยาวกว่า 15 ปี รู้จักสูตรอาหารและจัดการวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำ ทำให้ productivity สูงกว่าคู่แข่ง 30% ส่งผลให้ยอดขายต่อวันเฉลี่ย 1–2 ล้านบาท แม้ราคาอาหารสูง แต่ฐานลูกค้ายังมีมากราวๆ 70% เนื่องจากพอใจในคุณภาพที่สม่ำเสมอ เทียบกับร้านที่เปลี่ยนเชฟบ่อยซึ่งยอดขายผันผวนประมาณ 20%

4. Tops (Central Retail)

ภาพจาก www.centralretail.com

ในโมเดล Tops Club (คล้าย Costco) พนักงานที่ผ่านการฝึกยาวนานช่วยจัดการสินค้าขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว ลด waste สินค้าลง 25% Turnover ต่ำที่ 18% ทำให้ยอดขายต่อสาขาเพิ่ม 12% เป็น 500 ล้านบาทต่อปี สูงกว่าสาขาที่ turnover สูงจากคู่แข่ง

5. Big C

หลังการปรับโครงสร้างใหม่มีพนักงานชำนาญสินค้าอยู่ยาว 3–4 ปี ช่วยแนะนำโปรโมชันตรงจุด ลดอัตราการคืนสินค้าลง 10% Turnover 22% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์-ออฟไลน์เพิ่ม 18% เป็น 200,000 ล้านบาทในปี 2025

เหล่านี้คือตัวอย่างและข้อมูลที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า Talent Retention เป็นสูตรสำเร็จในการสร้างเงินล้านให้กับธุรกิจโดยที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม และเทรนด์นี้เป็นมากกว่าจริยธรรมทั่วไป

แต่เป็น “กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอดและการเติบโต” ในโลกธุรกิจยุคใหม่ องค์กรที่บูรณาการความเคารพนี้ไว้ในทุกมิติของการดำเนินงาน จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน ดึงดูดลูกค้าที่มีคุณภาพ และสร้างความไว้วางใจในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในที่สุด

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด