รวยแบบไม่สิ้นสุด “Brand Capitalism” พิมพ์เขียวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
ในยุคที่โลโก้ทรงพลังยิ่งกว่านโยบายรัฐบาล แนวคิด “Brand Capitalism” หรือ “ทุนนิยมแบรนด์” ก็กลายเป็นคำที่ต้องรู้ไว้ ซึ่ง Brand Capitalism คือ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและเป็นที่ต้องการของตลาด โดยที่เจ้าของแบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานผลิตเพื่อผลิตเอง ไม่ต้องมีหน้าร้านเพื่อขายสินค้าเอง เพียงแค่เป็นเจ้าของ “แบรนด์” ที่แท้จริงก็สามารถสร้างรายได้เรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
อธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านี้ ก็คือเน้นการขาย “ภาพลักษณ์” และ “คุณค่า” ของแบรนด์ มากกว่าสินค้าจริงเพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อแค่ “ของใช้” แต่ซื้อ “ความรู้สึก” ที่แบรนด์มอบให้ ยกตัวอย่างเช่น
- เราไม่ได้ซื้อ Nike เพราะแค่รองเท้าดี แต่เพราะมันบอกว่าเรา “Just Do It” ได้
- เราใช้ Apple เพราะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนทันสมัย และก้าวนำเทคโนโลยีเสมอ
- เราใช้บริการ Starbucks เพราะรู้สึกว่าส่งเสริมภาพลักษณ์ให้เราดูดีมีสไตล์ได้
แต่แน่นอนว่าการสร้างแบรนด์ให้เป็น Brand Capitalism ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายในเวลาอันสั้น สิ่งสำคัญสุดคือการสร้าง “อุดมการณ์ของแบรนด์” ที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง และต้องแสดงจุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจน
เน้นการให้ “คุณค่า” ที่สำหรับกว่าการสร้าง “มูลค่า” รู้จักใช้การตลาดที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์ร่วมกันระหว่างแบรนด์และลูกค้า เพื่อให้แบรนด์นั้นเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีของเนสท์เล่ ที่มีปัญหาการฟ้องร้องในทางธุรกิจตามที่เป็นข่าว สิ่งที่เราเห็นได้คือความเป็น Brand Capitalism ที่ชัดเจน เนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่ผูกพันกับแบรนด์นี้ไปแล้ว การทำตลาดเพื่อขายสินค้านี้จึงทำได้ง่าย
ทุกวันนี้เราแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่เรามั่นใจในโลโก้และสินค้า มันคือการตลาดที่เจ้าของแทบไม่ต้องลงทุนมาก ก็ต่อยอดต่อไปได้ แตกต่างจากการไปสร้างแบรนด์ใหม่ ที่ต้องมาเริ่มทุกอย่างใหม่ กว่าจะก้าวมาเป็น Brand Capitalism ได้ต้องใช้เวลานานมาก
อีกตัวอย่างแบรนด์ที่คนจำภาพลักษณ์ของสินค้าและเลือกซื้อแบบไม่ต้องคิดอะไรคือ “น้ำอัดลม” ไม่ว่าจะ เป๊บซี่ หรือ ว่าโค้ก ต่างก็มีฐานลูกค้าตัวเองเหนียวแน่น จุดนี้ทำให้สร้างรายได้มหาศาล ยกตัวอย่าง
เป๊บซี่ มียอดรายได้รวมทั่วโลกในปี 2567 ที่ผ่านมาประมาณ 91.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท เฉพาะในเมืองไทยมีรายได้กว่า 18,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีถ้าวิเคราะห์ในด้านการตลาด มี 3 สิ่งสำคัญที่นำไปสู่การเป็น Brand Capitalism ได้
1.เริ่มจากการทำ SWOT Analysis เลือกเวทีการแข่งขันที่เหมาะสมกับศักยภาพ และรู้ว่าควรพัฒนาแบรนด์ไปในทิศทางใด เพื่อให้เหมาะสมกับศักยภาพของสินค้า
2.สร้างความเป็น Brand Essence คือการวางรูปแบบธุรกิจและการจัดการแบรนด์อย่างมีกลยุทธ์ มีระบบแบบแผน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การประชาสัมพันธ์ การจัดจำหน่าย รวมไปถึงการบริการลูกค้า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำตามคนอื่น หรือคู่แข่ง แต่ควรทำบนแก่นของแบรนด์
3. Risk Management หรือการเตรียมแผนการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางการแก้ปัญหา เช่น ในการลงทุน หากต้องกู้เงินธนาคาร ต้องรู้จักกำลังตัวเองว่าสามารถบริหารจัดการหนี้ได้หรือไม่ รวมถึงการสร้าง Brand Engagement ที่ทำให้คนรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ รักแบรนด์ ลุกขึ้นมาปกป้องแบรนด์เวลาที่แบรนด์ถูกโจมตี หรือมีข่าวเสียหาย
การสร้าง Brand Capitalism ถือเป็นจุดสุดยอดแห่งความสำเร็จของทุกแบรนด์ที่หากสร้างได้ มันคือโอกาสในการทำธุรกิจที่มีกำไรไม่รู้จบ แม้จะมีคู่แข่งอื่นแต่ก็ไม่ทำให้ Brand Capitalism ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากแบรนด์จะทำตัวเอง ไม่รักษาคุณภาพ ไม่ต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มีคนกล่าวว่าเมื่อเราอยู่ในจุดที่สูงสุดคู่แข่งสำคัญที่สุดก็คือตัวเราเองเท่านั้น
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)