“Social Proof” ลูกค้าเยอะ เพราะ “คุณภาพ” หรือแค่การตลาด?

Social Proof เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของการทำธุรกิจในยุคนี้ที่ได้ผลมาก นี่คือทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ชี้ให้เห็นว่า ความคิดเห็นของคนอื่น ๆ มีผลต่อการตัดสินใจ สมมุติว่าถ้าเรามีตัวเลือกเป็นร้านอาหาร 2 แห่งที่มีคุณภาพ รสชาติ และราคาพอ ๆ กันแต่ถ้าร้านใดร้านหนึ่งมีคนนั่งในร้านเยอะกว่า หรือมีคนต่อแถวที่หน้าร้านเยอะกว่า เราจะมีโอกาสเลือกร้านนั้นมากกว่า เพราะเป็นตัวเลือกของคนจำนวนมาก

  • 71% ของผู้บริโภค มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าหลังได้รับคำแนะนำหรือเห็นสินค้าในโซเชียลมีเดีย
  • 54% ใช้โซเชียลเพื่อค้นคว้าข้อมูลสินค้า
  • ผู้ที่ใช้โซเชียลมีแนวโน้มใช้จ่ายมากขึ้นถึง 4 เท่า
  • 81% ของผู้บริโภคได้รับอิทธิพลจากโพสต์ของเพื่อนหรือคนในครอบครัวบนโซเชียลมีเดีย
  • 76% ของผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ตัดสินใจซื้อสินค้าจากคำแนะนำของอินฟลูเอนเซอร์
  • 53% ของผู้บริโภคไทยมีส่วนร่วม (engage) กับอินฟลูเอนเซอร์ เช่น ติดตาม ไลค์ คอมเมนต์
  • 42% ของกลุ่ม Gen Z และ Millennials เคยซื้อวัตถุดิบตามที่เห็นในคลิปทำอาหาร หรือตามหาร้านนั้นๆ

สิ่งเหล่านี้คือตัวเลขที่มาจากผลสำรวจที่แสดงให้เห็นถึงพลังของ Social Proof ได้อย่างชัดเจน ที่ผ่านมา Social Proof มักถูกเอามาประยุกต์ใช้กับกลยุทธ์การตลาดให้เห็นกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะในมุมของ “การกระตุ้นการขาย” และ “สร้างความน่าเชื่อถือ” ด้วยการทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้ารู้สึกว่าคนส่วนมากเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์ ซึ่งก็มีหลายวิธีที่นำไปประยุกต์ใช้ได้เช่น

  • กลยุทธ์ “Seeding” การตลาดผ่านหน้าม้า
  • การทำป้าย “สินค้าขายดี” ให้คนสนใจเพื่อกระตุ้นยอดขาย
  • การโปรโมทด้วยความเป็นที่สุดให้คนสนใจ เช่น “ สินค้าอันดับ 1 จากญี่ปุ่น” หรือ ยอดขายสูงสุดในประเทศ เป็นต้น
ภาพจาก www.facebook.com/UNOCoffeeCompany

หรือตัวอย่างที่ชัดเจนพอให้เห็นภาพคือ UNO! Coffee แบรนด์กาแฟที่ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลเป็นอย่างมากกับภาพคนมาต่อแถว รอคิวยาว ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้คนสนใจมากคือการนำเสนอกาแฟที่มีชื่อเรียกว่า “เกอิชา” ในราคาแก้วละ 85 บาท

หากดูผิวเผินก็จะมีความรู้สึกว่า ทำไม? กาแฟแพงจัง ราคาดูสูงจากปกติ แต่ถ้าหากลงข้อมูลดูรายละเอียดพบความจริงที่ว่า กาแฟสายพันธุ์ “เกอิชา” เป็นกาแฟที่มีราคาสูงที่สุดในโลก และเป็นรู้จักของคอกาแฟเป็นอย่างดีถึงเรื่องคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ด้วยกลยุทธ์นี้สามารถดึงคนเข้าร้านได้ กับกาแฟพรีเมียมราคาถูก หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศกาแฟสายพันธุ์ “เกอิชา” จะถูกขายแก้วละ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,200 บาท)

หรือถ้าจำกันได้ไม่นานมานี้ก็มีกระแสของ “ชิโอปัง” ซึ่งเป็นขนมปังเกลือมาแรงที่หน้าตาคล้ายกับครัวซองต์ แต่มีจุดเด่นคือผิวบางกรอบ โดยเฉพาะตรงฐานขนมปังจะกรอบและมันเนยเป็นพิเศษเริ่มเป็นกระแสในโซเชี่ยลมาตั้งแต่ปลายปี 2024

มีอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวไทยไปลองชิโอะปังร้านดังในเกาหลี แล้วรีวิวว่าอร่อย ชวนให้หลายคนตามไปลองชิมกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชิโอะปังร้านนี้อร่อยมาก เกิดเป็นกระแสคนไทยที่ไม่ได้ไปเกาหลีก็อยากลองว่าเจ้าชิโอะปังจะมีรสชาติยังไง จนเมื่อมีร้านเบเกอรี่ในเมืองไทยนำเมนูนี้มาขายก็กลายเป็นกระแสที่ร้านเบเกอรี่ได้รับความนิยมมีคนสนใจต่อแถวรอซื้อกันยาวเหยียด

ไม่ใช่แค่นั้นแม้แต่แบรนด์สินค้าพื้นบ้านเองก็ใช้ประโยชน์จาก Social Proof ได้เช่นกัน เช่น หมูย่างเมืองตรัง ร้านอาหารท้องถิ่นที่กลายเป็น “แลนด์มาร์ก” เพราะการรีวิวของยูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง Mark Wiens หลังคลิปเผยแพร่ ยอดผู้เข้าชมทะลุ ล้านวิวภายในไม่กี่วันทำให้ยอดขายร้านเพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วง 2 เดือนหลังคลิปลง เป็นต้น

คำถามที่น่าสนใจคือกระแสที่คนสนใจมากมายแบบนี้มันเกิดจากคำว่า “คุณภาพ” หรือเป็นแค่ “การตลาด”

ถ้าให้ตอบกันตรงๆ ก็คือการตลาด แต่แบรนด์เองก็ต้องรักษาคุณภาพสินค้าด้วย เมื่อจุดกระแสให้คนสนใจได้แล้ว สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือทำอย่างไรให้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง ไม่ใช่มาแค่ครั้งเดียวแล้วหายไป เป้าหมายของคนทำธุรกิจอย่างแรกคือทำอย่างไรก็ได้ดึงคนให้สนใจเข้าร้านได้เยอะๆ เมื่อมีปริมาณลูกค้ามากโอกาสขายสินค้าก็ย่อมมากตาม แม้ในจำนวนเหล่านี้อาจไม่ได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำทั้งหมด แต่ถ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นได้ก็ถือเป็นความสำเร็จเช่นกัน

ดังนั้นการใช้ Social Proof เพื่อจุดกระแสอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอสำหรับเพิ่มยอดขายในระยะยาวจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์อื่นเข้ามาผสมผสานด้วยเช่นการทำระบบสะสมแต้ม , การบริการหลังการขาย , การจัดทำโปรโมชันอื่นๆ หรือการสร้าง Community ผ่าน Social Media เช่น ลงรูปลูกค้า (ที่อนุญาตให้ลงได้) , การแชร์รูปในร้าน , การจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เป็นต้น กลยุทธ์เหล่านี้คือการเปลี่ยนแค่กระแสให้กลายมาเป็นความประทับใจที่นำไปสู่การเพิ่มฐานลูกค้าได้มากขึ้น

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด