โบนัสออก ทําอะไรดี? รวมไอเดียใช้เงินโบนัสให้คุ้มค่า

ความหวังของมนุษย์เงินเดือนช่วงต้นปีแบบนี้คงหนีไม่พ้น “โบนัส” เพราะนี่คือ “เงินก้อน” ที่สามารถเอามาใช้ต่อยอดให้ชีวิตเดินหน้าได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า “โบนัสออก” ในแต่ละบริษัทย่อมแตกต่างบางที่จ่ายมาก บางที่จ่ายน้อย ก็เอาเป็นว่าใครที่ได้มากประเภท 3 เดือน 6 เดือนก็โชคดีไป ส่วนใครที่ได้โบนัสน้อยหน่อย ก็ต้องมาคิดอีกทีว่าจะบริหารจัดการเงินที่ได้มาก้อนนี้อย่างไร

บริหาร “เงินโบนัส” อย่างไรให้คุ้มค่า?

โบนัสออก

ภาพจาก freepik.com

ภาระของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ปัจจัยในการใช้เงินของแต่ละคนก็ย่อมต่างกันด้วย ค่าใช้จ่ายหลักๆที่หลายคนน่าจะมีก็คือค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ค่าเบี้ยประกันชีวิต หนี้บัตรเครดิต เป็นต้น นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หรือใครที่ไปกู้หนี้ยืมสินทั้งในระบบนอกระบบก็อาจต้องจัดสรรเงิน “โบนัส” มาใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย

“โบนัส” บางคนที่ได้มาหักลบกลบหนี้กับรายจ่ายที่ลิสต์มาแล้วบางทีก็ยังไม่พอ แต่อย่างน้อยก็ควรมีบริหารการเงินที่ถูกต้องเพื่อจัดสรรและใช้ประโยชน์จากโบนัสได้อย่างสูงสุดวิธีการง่ายๆ คือจัดสรรเงินโบนัสที่ได้มา แบ่งออกเป็น 3 ก้อนคือ

  1. ปิด โปะ หนี้ ลดดอกเบี้ยสะสม
  2. กระจายลงทุน เพิ่มพูนกำไร
  3. เก็บไว้เผื่อฉุกเฉินในอนาคต

เงินในแต่ละก้อนที่จัดสรรจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้โบนัสมาเท่าไหร่ เหตุผลที่ต้องให้มาจัดสรรแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้เงินโบนัสถูกใช้ไปในทางเดียว เงินก้อนนี้ที่เหมือนเป็นรางวัลจากการทำงาน ควรได้กระจายไปในหลายจุดแม้จะไม่แก้ปัญหาในชีวิตให้ดีขึ้นได้ทั้งหมดแต่ก็ควรมีส่วนช่วยลดภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นได้บ้าง

รวม 7 วิธีใช้เงิน “โบนัส” คุ้มค่าสุดๆ

เมื่อเราได้จัดสรรปันส่วนแยกเงินโบนัสบางส่วนไปใช้หนี้ ก็มีคำถามอีกว่าในส่วนที่จะนำมาใช้ต่อยอดให้เกิดความคุ้มค่ามีอะไรบ้างที่น่าสนใจ เราได้รวบรวมมา 7 วิธีได้แก่

1.เก็บเป็นเงินทุนสำหรับตัวเอง

โบนัสออก

ภาพจาก freepik.com

บางคนไม่อยากเสี่ยงไม่กล้าลงทุนเมื่อแบ่งสันปันส่วนเงินโบนัสเรียบร้อย ในส่วนที่เหลือไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็สามารถนำมาเก็บไว้ในบัญชีฝากประจำที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ วิธีนี้อาจให้ผลตอบแทนไม่มากเนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝากในยุคนี้ถูกมาก แต่ก็เป็นการันตีให้ตัวเองอุ่นใจว่ามีเงินสำรองไว้ใช้ในยามจำเป็นได้

2.ซื้อสลากออมทรัพย์

ภาพจาก facebook.com/baacthailand

คำแนะนำนำสำหรับการใช้เงินต่อเงินที่มีประสิทธิภาพอีกอย่างที่นิยมคือการซื้อสลากออมทรัพย์ ข้อดีคือความเสี่ยงต่ำ ใช้เงินลงทุนน้อย แต่มีโอกาสถูกรางวัลจากสลากออมทรัพย์ เมื่อครบกำหนดก็สามารถถอนคืนได้เต็มจำนวน ที่นิยมมากที่สุดคือสลากออมทรัพย์ของธนาคารออมสิน , ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์

รวมถึง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ยกตัวอย่าง สลากออมทรัพย์ที่ลงทุนต่ำสุด เช่น ของ ธ.ก.ส.” เริ่มต้นหน่วยละ 20 บาท อายุสลาก 2 ปี ครบกำหนดได้ดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี และ ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน รางวัลสูงสุดมูลค่า 2 ล้านบาท เป็นต้น

3.แบ่งเงินลงทุนในธุรกิจออนไลน์

ภาพจาก facebook.com/ido4idea

ยุคนี้กระแสออนไลน์มาแรง โบนัสที่ได้มาถ้านำมาลงทุนออนไลน์อาจเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ที่ดี ส่วนใหญ่ใช้เงินทุนไม่มาก ขึ้นอยู่กับไอเดียในการนำเสนอ มีหลายรูปแบบทั้งการซื้อสินค้ามาจำหน่ายออนไลน์ หรือการลงทุนในแฟรนไชส์ออนไลน์ที่มีหลายแบรนด์ให้เลือก

เช่น ไอดูโฟร์ไอเดีย ที่เราสามารถพิมพ์ภาพลงบนวัสดุทั้งจาน แก้ว เสื้อยืด ฯลฯ แล้วขายได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ หรือจะเลือกลงทุนกับ แฟรนไชส์นายหน้าออนไลน์ ที่ผู้ลงทุนมีหน้าที่โปรโมทเว็บให้คนสนใจเมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าหรือบริการก็สามารถหักส่วนต่างกว่า 50% เป็นรายได้ของเราในทันที

4.ซื้อกองทุนรวมหรือหุ้น

ภาพจาก freepik.com

สำหรับคนที่ยังไม่เคยลงทุนมาก่อน อาจเริ่มต้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างกองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ แต่หากเคยลงทุนมาแล้ว สามารถลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ การลงทุนในกองทุนที่คนนิยมกันมากก็

เช่น กองทุนรวม SSF และ กองทุนรวม RMF แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ โดยปัจจุบันมีโบรคเกอร์และเจ้าหน้าที่ในแต่ละธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเราเป็นอย่างดี

5.แบ่งไปต่อยอดความรู้

ภาพจาก freepik.com

วิธีใช้เงินโบนัสที่คุ้มค่าในระยะยาวคือการลงทุนต่อยอดความรู้หรืออาจจะเป็นการลงเวิร์คชอปเพิ่มความรู้สั้น ๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง และนำมาต่อยอดในเรื่องงานได้ เช่น การไปลงคอร์สที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางในการทำงาน และอัปเดตเทรนด์โลกที่เกี่ยวกับธุรกิจ คอร์สภาษาต่าง ๆ เพื่อใช้เพิ่มทักษะในการทำงาน และความรู้ที่เราเพิ่มเติมอาจเป็นช่องทางให้นำไปใช้สร้างรายได้ในอนาคตได้ด้วย

6.ลงทุนกับการดูแลสุขภาพ

ภาพจาก freepik.com

ไม่ว่าจะมีเงินแค่ไหนแต่ต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพของตัวเองเป็นสำคัญด้วย ดังนั้นการลงทุนที่คุ้มค่าอีกแบบคือการดูแลสุขภาพ เราสามารถบริหารเงินโบนัสมาสมัครคอร์สฟิตเนส , ตรวจร่างกายประจำปี , ซื้ออาหารเสริมบำรุงสุขภาพ , การเข้าสปา รวมถึงอาจลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ที่อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันให้เรามั่นใจว่า โบนัสก้อนนี้ที่ได้มาจะไม่ต้องนำไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลเพราะเจ็บป่วย

7.ลงทุนแฟรนไชส์ที่เริ่มต้นได้ทันที

ภาพจาก facebook.com/torbeefgrill

สำหรับบางคนเมื่อบริหารจัดการโบนัสที่ได้เสร็จแล้วอาจมีเงินบางส่วนที่เหลือหากไม่อยากนำไปเก็บไว้เฉยๆ อาจนำมาต่อยอดกับแฟรนไชส์ที่ราคาไม่สูงมาก แต่เริ่มขายได้ทันที เช่น ต.เนื้อย่าง ลงทุนเริ่ม 3,000 บาท , ธงไชย ผัดไทย ลงทุนเริ่ม 9,000 บาท , อู้ฟู่ ลูกชิ้นปลาเยาวราช ลงทุนเริ่ม 2,990 บาท , ไจแอ้น ลูกชิ้นปลาระเบิด ลงทุนเริ่ม 3,000 บาท , ซูโม่ ลูกชิ้นปลาระเบิด ลงทุนเริ่ม 2,490 บาท หรือ โชกุน สเต็ก ลงทุนแค่ 19,900 บาท เป็นต้น

ทั้งนี้เงินโบนัสเป็นเงินก้อนที่ได้ส่วนใหญ่ปีละครั้ง การบริหารเงินก้อนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีคุณภาพชีวิตที่ได้ได้ในระดับหนึ่ง การจัดสรรปันส่วนนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในหลายด้าน น่าจะเป็นวิธีการใช้เงินโบนัสที่คุ้มค่าที่สุดในยุคนี้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด