แพงเกินจริง เทรนด์ OverPrice พาไทยติดหล่ม!

ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นปรากฏการณ์ OverPrice แพงเกินจริง ของสินค้าหลายชนิดไล่ตั้งแต่อาหาร เครื่องดื่ม หรือบริการต่างๆ ยกตัวอย่าง คาเฟ่บางแห่งตั้งราคาเครื่องดื่ม 120 – 200 บาท , อาหารบางเมนูราคา 1,000 – 4,000 บาท , หรือกาแฟแก้วละ 150-300 บาท เป็นต้น ซึ่งราคาสินค้าที่สูงในบางประเภทนี้สวนทางกับความจริงของสังคมไทยในหลายด้านได้แก่

  • 54% ของคนไทยเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
  • 42% ของคนไทย มีความกังวลใจสูงสุดในเรื่องของราคาสินค้าและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
  • 54% ผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มักมีความกังวลที่ค่าครองชีพสูง
  • 51.59% กังวลสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตอนนี้ ของแพง-ค่าครองชีพสูง
  • 42.68% กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากบัตรเครดิตและเงินกู้ต่างๆ

ถ้าดูจากตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครัวเรือนต่อเดือนอยู่ที่ 18,207 บาท และรายได้เฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 25,000 บาท

จะเห็นว่าเมื่อรายได้ไม่สูงแต่สินค้าบางอย่างกลับเลือกใช้วิธีตั้งราคาแบบ OverPrice ในมุมของการตลาดสินค้าที่แพงเหล่านี้ก็ไม่ได้บังคับหรือเจาะจงให้เราไปเลือกซื้อ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้มีผลทางจิตวิทยามากกว่าที่คิด ถึงขนาดที่อาจทำให้สังคมไทยติดหล่มเรื่องนี้ได้ไม่รู้ตัว

มีเหตุผลน่าสนใจที่ระบุว่าการตั้งราคาสูงเป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยา ไว้ใช้ “หลอกคนซื้อได้ดีมาก ซึ่งมีการวิจัยอย่างจริงจังและสรุปว่าร้านที่ขายของราคาสูงแบบเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ได้สะท้อนต้นทุนอะไรเลย เป็นเพียงจิตวิทยาสินค้าราคาสูง (High-level Pricing Strategy)

และการที่คนไปซื้ออาจแค่ตามกระแสหรือบางทีก็แค่อยากลองสินค้าแพงๆ ตรงตามวิธีคิด Fear of Missing Out หรือ FOMO คือการกลัวที่จะพลาดอะไรบางสิ่ง

แพงเกินจริง

ข้อดีของการตั้งราคาสินค้าแบบ OverPrice

  1. สร้างความคิดความเชื่อให้กับลูกค้าว่า ราคาสูง = ของดี มีคุณภาพ
  2. ได้ลูกค้าที่พร้อมซื้อพร้อมจ่ายเนื่องจากคนที่เงินไม่พอก็จะไม่กล้ามาใช้สินค้าหรือบริการ
  3. จับกลุ่มลูกค้าที่ชอบสินค้าเพื่อ “เสริมภาพลักษ์” ให้กับตัวเอง
  4. เป็นจิตวิทยาเชิงลึกให้คนธรรมดาได้รู้สึกถึง “อรรถรสคนรวย” (Vertical Social Mobility)

ซึ่งสิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่ความจริงเป็นปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าสนใจเพราะการตั้งราคาสูง (OverPrice) อาจทำให้เกิดสภาวะ “อุปสงค์หักงอ” หรือการที่ทุกร้านพยายามไปตั้งราคาแพงแข่งกัน

เพื่อทำให้มันได้กระแสแบบคู่แข่ง (Competitive-Based Pricing) และจะยกระดับปัญหาให้หนักขึ้นเพราะทุกคนที่ไม่ได้อยากซื้อของแพง แต่ก็ต้องจำใจยอมซื้อเพราะการตั้งราคาแพงๆ แข่งกัน

แน่นอนว่าปรากฏการณ์ OverPrice ที่ว่านี้ย่อมมีผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายด้านเช่นกันได้แก่

1.ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

คนรายได้สูงมองว่าเป็น “ของปกติ” แต่คนรายได้น้อยถูกกันออกจากโอกาส

2.ค่านิยม “อวดรวย” แทนคุณค่าแท้จริง

ผู้บริโภคบางกลุ่มยอมซื้อเพื่อภาพลักษณ์ มากกว่าคุณภาพจริง

3.ภาระหนี้ครัวเรือนพุ่ง

หนี้ครัวเรือนของไทยแตะ 90% ของ GDP (สูงติดอันดับโลก) ส่วนหนึ่งเพราะการจับจ่ายเกินตัว

4.ธุรกิจเล็กเสียเปรียบ

ร้านอาหารท้องถิ่นที่ขายราคาสมเหตุสมผลมักถูกมองว่า “ไม่หรู ไม่อินเทรนด์ เป็นต้น

แต่หากมองในเชิงบวก เทรนด์ OverPrice บางส่วนก็ช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจเชิงประสบการณ์ (Experience Economy) เช่น คาเฟ่สวย ๆ ที่ขาย “บรรยากาศ” ไม่ใช่แค่กาแฟ ดังนั้นเรื่อง OverPrice อาจไม่ใช่สิ่งที่ผิดในด้านการตลาดเพราะเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคตัดสินใจเองว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ

เพียงแต่ในยุคนี้ที่กระแสโซเชี่ยลมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจ สินค้า OverPrice ไม่ต่างจากกระแสที่ดึงลูกค้ามาเพื่อสร้างยอดขาย แต่ในมุมมองของการทำธุรกิจที่แท้จริง ควรโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าของตัวเองและตั้งราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าจะเป็นการสร้างยอดขายในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช