เทคนิคร้านอาหารเพิ่มกำไรธุรกิจ 18% สู้กลับยุคแข่งเดือด

อาหารคือหนึ่งในปัจจัย 4 แต่การเปิดร้านอาหารอาจไม่ใช่ทางรอดได้อย่างที่คิด หลายคนที่คิดว่าทำได้แต่สุดท้ายก็ไม่รอดอาจจะด้วยหลายสาเหตุ เช่น

  • ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18-25% โดยเฉพาะวัตถุดิบนำเข้า. คิดเป็นสัดส่วนต้นทุน 30-40% ของร้านอาหาร
  • ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นเป็น 400-470 บาท/วัน ในบางพื้นที่ เพิ่มต้นทุนราว 5%
  • ค่าไฟฟ้าและน้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12-15
  • การแข่งขันสูง โดยร้านอาหารเปิดใหม่กว่า 60% ปิดตัวภายใน 3 ปีแรก
  • โอกาสขาดทุนในปีแรกที่เปิดร้านสูงกว่า 30-40%

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสรอดถ้ารู้จักบริหารจัดการ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ บางทีไม่ใช่แค่รอดแต่มีโอกาสเพิ่มกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 18 % ก็มีหลายวิธีที่น่าสนใจเช่น

1.ปรับเมนูให้เหมาะสม (Menu Engineering)

การวิเคราะห์และปรับเมนูให้เน้นอาหารที่ให้กำไรสูงและเป็นที่นิยม ช่วยเพิ่มยอดขายได้ โดยวิเคราะห์เมนูแบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ

  • ดาวเด่น (กำไรสูง ยอดขายสูง)
  • ปัญหา (กำไรต่ำ ยอดขายต่ำ)
  • ยังไม่แน่ใจ (กำไรสูง ยอดขายต่ำ)
  • ขายบ่อยคนนิยม (กำไรต่ำ ยอดขายสูง)

ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารพบว่า “ผัดไทยกุ้ง” มีต้นทุน 50 บาท ขายได้ 150 บาท (กำไร 66%) และขายได้ 100 จาน/สัปดาห์ หากโปรโมตเพิ่มยอดขายเป็น 120 จาน/สัปดาห์ รายได้เพิ่ม 3,000 บาท/สัปดาห์ หรือ 156,000 บาท/ปี ผลลัพธ์ก็คือจะเพิ่มกำไรได้ 5-7% จากยอดขายเมนูที่ทำกำไรสูง

2.ลดต้นทุนวัตถุดิบโดยไม่ลดคุณภาพ

มีหลายวิธีที่นำมาใช้ได้เช่นการเจรจากับซัพพลายเออร์เพื่อขอส่วนลดเมื่อซื้อจำนวนมาก เช่น ลดต้นทุนผักจาก 20 บาท/กก. เป็น 18 บาท/กก. หรือการควบคุมปริมาณการใช้ (portion control) เช่น กำหนดให้ใช้กุ้ง 5 ตัว/จาน แทน 6 ตัว ยกตัวอย่างร้านอาหารลดต้นทุนวัตถุดิบจาก 35% ของยอดขายเหลือ 30% หากร้านมียอดขาย 1 ล้านบาท/เดือน จะประหยัดได้ 50,000 บาท/เดือน หรือ 600,000 บาท/ปี ผลลัพธ์คือลดต้นทุนได้ 4-6% ของกำไรทั้งหมด

3.เพิ่มยอดขายผ่านการ Upselling และ Cross-selling

โดยอบรมพนักงานให้แนะนำเครื่องดื่มหรือของหวาน หรือเสนอเซ็ตเมนู เช่น เซ็ตอาหารกลางวัน 150 บาท ที่รวมเครื่องดื่มและของหวาน เป็นต้น ซึ่งหากร้านมีลูกค้า 100 คน/วัน และ 30% สั่งเครื่องดื่มเพิ่ม (60 บาท/แก้ว) จะได้รายได้เพิ่ม 1,800 บาท/วัน หรือ 657,000 บาท/ปี เพิ่มกำไรได้ 3-5% จากยอดขายเพิ่ม

4.การใช้ระบบ CRM เข้าช่วยบริหารร้าน

ข้อมูลน่าสนใจระบุว่า CRM มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ย 18% และลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ได้ 23%

และ CRM จะช่วยให้เช้าถึงข้อมูลลูกค้า ตั้งแต่ชื่อ-เบอร์โทร ไปจนถึงพฤติกรรมการซื้อ ความชอบ และประวัติการติดต่อทำให้ธุรกิจเข้าถึงพฤติกรรมลูกค้าได้มากและมีประโยชน์ในหลายด้านคือ

  • 80% ของรายได้บริษัทมาจากลูกค้าเก่าเพียง 20%
  • ธุรกิจที่ใช้ CRM เพิ่มความพึงพอใจลูกค้าได้ถึง 45%
  • การหาลูกค้าใหม่แพงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าถึง 5 เท่า

ปัจจุบัน CRM มีให้เลือกเยอะมากตั้งแต่ใช้ฟรีจนถึงเสียเงิน

มีข้อมูลระบะว่าธุรกิจที่วิเคราะห์ข้อมูลทุกเดือนเพิ่มรายได้เฉลี่ย 12% ต่อปี นอกจากนี้ถ้าเจ้าของธุรกิจอบรมให้ทีมรู้วิธีใช้ CRM จะทำให้ธุรกิจนั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นถึง 35%

5.สร้างโปรโมชันดึงดูดลูกค้า

การทำโปรโมชันที่มีประสิทธิภาพคือการดึงดูดลูกค้าได้ดีที่สุดแต่ก็ต้องให้สัมพันธ์กับความต้องการลูกค้าด้วย เช่น เสนอโปรโมชันในช่วงเวลาที่ลูกค้าน้อย เช่น ลด 20% สำหรับมื้อกลางวันวันจันทร์-ศุกร์ หรือสร้างโปรแกรมสะสมแต้ม เช่น ซื้อครบ 1,000 บาท ได้ส่วนลด 100 บาทในครั้งถัดไป การใช้วิธีสร้างโปรโมชันอย่างชาญฉลาดจะเพิ่มกำไรได้ 2-4% จากจำนวนลูกค้าที่มากขึ้น

และเมื่อร้านอาหารนำทุกวิธีเหล่านี้มาผนวกใช้รวมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพกำไรในภาพรวมจะสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยขึ้นอยู่กับไอเดีย +การบริหารจัดการ อย่างไรก็ดีการสร้างการเติบโตของยอดขายของร้านอาหารแต่ละประเภทนั้น อาจจะมองแตกต่างกันออกไป อย่างร้านอาหารประเภท Quick Service Restaurant อาจจะไม่ได้มองที่การเพิ่มยอดขายต่อบิลให้มีมากขึ้น แต่จะ มองถึงการเพิ่มโอกาส หรือการเพิ่ม Occasion ในการใช้บริการของลูกค้าให้มีความถี่มากขึ้นจากเดิม

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด