อวสานวงการบันเทิงไทย ถอยหลัง ตกยุค เรตติ้งตก?

หลายคนคงเคยได้ยินกับประโยคที่ว่า “วงการบันเทิงไทยกำลังจะตาย” หรือ “ยุคทองมันจบไปแล้ว” คำพูดแบบนี้ไม่ได้พึ่งมี แต่พูดกันมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว และยิ่งตอนนี้ ปี 2568 มันยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า มัน “จบ” ไปแล้วจริงหรือยัง หรือเรากำลังอยู่ในช่วงขาลงที่ยาวนานเกินไปจนลืมไปแล้วว่าขาขึ้นมันเคยมีหน้าตาแบบไหน

ปี 2515-2545 ยุคทองของวงการบันเทิงไทย

อวสานวงการบันเทิงไทย
ภาพจาก https://citly.me/IH82A

ย้อนกลับไปในสมัยก่อน วงการบันเทิงไทยเฟื่องฟูสุดขีด โดยเฉพาะหนังไทยพีคมากๆทำเงินสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซงหน้าฮ่องกงและญี่ปุ่น มีโรงหนังเกือบ 700 โรงทั่วประเทศ นับเฉพาะในกรุงเทพฯอย่างเดียวก็เกินกว่า 100 โรง ดาราที่เป็นตำนานก็เช่น สรพงษ์ ชาตรี, เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, จารุณี สุขสวัสดิ์ เป็นต้น

และมีหนังดังหลายเรื่องที่ทุกวันก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เช่น “มนต์รักลูกทุ่ง” , “ทองประกายแสด” ,”เพชรตัดเพชร” และมีอีกหลายเรื่องที่เอามารีเมคใหม่ให้นักแสดงรุ่นใหม่ได้แสดง หลายคนก็คงจะเคยเห็นกันมาแล้ว

ข้ามมาถึงยุค “ฟรีทีวี” แบบเต็มสูบ เป็นช่วงประมาณปี 2530-2540 ในตอนนั้นคือเวลาทองของ “ละครหลังข่าว” เด็กในรุ่นใหม่นี้อาจจะไม่เข้าใจแต่สำหรับคนวัย 40+ น่าจะเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นได้ดีว่ามีความสุดยอดแค่ไหน

อวสานวงการบันเทิงไทย
ภาพจาก https://citly.me/cetwX

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ “คนไทยมีเวลาว่างร่วมกันได้อย่างดี” สมมุติเลิกงาน 18.00 น. กลับถึงบ้าน อาบน้ำกินข้าว 20.30 น. มานั่งหน้าจอพร้อมกันทั้งครอบครัว ไม่มีมือถือ ไม่มีเน็ต ไม่มีทางเลือก ละครหลังข่าวหน้าจอโทรทัศน์เป็นความบันเทิงระดับสุดยอด สะท้อนได้จากการครองเรตติ้งระดับ 30-40 ของฟรีทีวีในยุคนั้น อย่าง 3, 5, 7, 9 ที่แตกต่างจากยุคนี้ราวฟ้ากับเหวที่ได้เรตติ้งแค่ 3 แค่ 4 ก็ดีใจกันมากแล้ว

โดยมีดาราในยุคนี้ที่เรียกว่าเป็นซุเปอร์สตาร์ เช่น ศรันยู , ศรราม , เคนธีรเดช , แอนทองประสม , หน่อยบุษกร หรือแม้แต่ภาพยนตร์ไทยก็เฟื่องฟูเช่นกัน อย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่เข้าฉายในปี 2540 ทำรายได้ไป 75 ล้านบาทในยุคนั้นตอนที่ค่าตั๋วเข้าชมในโรงภาพยนต์ประมาณ 60-80 บาท

รวมถึงวงการเพลงสตริงก็เฟื่องฟูไม่แพ้กัน ศิลปินชื่อดังแห่งยุคเกิดขึ้นมามากมายไม่ว่าจะเป็น อัสนี-วสันต์ , ไมโคร , นูโว , เบิร์ด ธงไชย สามารถขายเทปได้หลักแสน – หลักล้านตลับ และยังมีเวทีคอร์นเสิร์ตที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะ 7 สีคอร์นเสิร์ตหรือว่า “โลกดนตรีของช่อง 5”

ท้ายยุคทองวงการบันเทิง “หนังไทย” บูมหนักมาก

อวสานวงการบันเทิงไทย
ภาพจาก https://citly.me/4IQzk

ประมาณปี 2540-2545 เข้าสู่ปลายยุคทองของวงการบันเทิงไทย เป็นช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่คนไทยอยากดูหนังไทยเพื่อช่วยชาติมากขึ้น เกิดปรากฏการณ์หนังไทยทำรายได้ทะลุร้อยล้านหลายเรื่องไม่ว่าจะนางนากในปี 2542 ที่ทำรายได้ 149.6 ล้านบาท

ซึ่งถือว่าสูงสุดตลอดกาลในยุคนั้น มาถึงบางระจัน ในปี 2543 ที่ทำรายได้ 130+ ล้านบาท ต่อด้วย “สุริโยไท” ในปี 2544 ทำรายได้เกิน 140 ล้านบาท หรือหนังดังอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ที่รางวัลเมืองคานส์อีกด้วย

ตัวเลขที่บ่งบอกว่าหนังไทยในช่วงนี้ใหญ่จริงคือ ปี 2542 มีหนังไทยเข้าฉาย 92 เรื่อง และในปี 2540 – 2545 มีโรงหนังในไทยเกิน 650 โรง สมัยนั้นยังก่อกำเนิดดาวดวงใหม่ในวงการบันเทิงที่มีแทบทุกแนวตั้งแต่ลูกทุ่ง , สตริง , ภาพยนตร์ ,ละครหลังข่าว ดารากลายเป็น “ไอดอล” จริง ๆที่แตกต่างจากในตอนนี้สิ้นเชิง อันเนื่องมาจากแพลตฟอร์มที่หลากหลายทำให้คำว่าดาราแทบจะไม่มีความหมายแต่กลายเป็นคำว่า Content creator มาแทนที่

วิเคราะห์เหตุผล? เกิดอะไรขึ้นกับ “วงการบันเทิงไทย”

อวสานวงการบันเทิงไทย
ภาพจาก https://citly.me/zAleF

สาเหตุที่ทำให้วงการบันเทิงไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีต เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและปัจจัยแวดล้อมในหลายๆ ด้าน ที่เป็นเหมือนการ “ซ้ำเติม”ตอกทีละดอกจนโครงสร้างเก่าพังยับภายในเวลา 10-12 ปี

เริ่มตั้งแต่ปี 2549 ที่เกิดวิกฤติการเมือง ละครดีๆ ที่ถ่ายไว้แล้วถูก “ดอง” หรือตัดผังทิ้ง ผลกระทบเหล่านี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างนักลงทุนโฆษณาเริ่ม “ถอย” ผลคือ ปี 2550–2553 รายได้โฆษณาฟรีทีวีตกลงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ถึง 15–20% ต่อปี

ตอกย้ำให้หนักขึ้นด้วยการเข้ามาของ YouTube ที่เปิดตัวในไทยอย่างจริงจังเมื่อปี 2550 และแค่ภายในระยะเวลา 2 ปีละครไทยทุกแทบเรื่องถูกอัพโหลดเต็มเรื่องภายใน 1 ชม. หลังออกอากาศ

รวมถึงการเพิ่มขึ้นของเว็บโหลดหนังชื่อดังต่างๆ ที่ทำให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไปสิ้นเชิง คนเข้าโรงภาพยนตร์น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะร้าน VCD/DVD มีเกลื่อนเมือง ขายแผ่นหนังแค่ 50-60 บาท แม้กระทั่งวงการเพลงเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกที่เป็นอัลบั๊มแท้ตายทันที

พ.ศ. 2552 เป็นปีสุดท้ายที่มีอัลบั้มไทยขายเกิน 100,000 ตลับ

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อมีดิจิทัลทีวีเกิดขึ้นในปี 2554 – 2557 ที่มีการประมูลคลื่นความถี่ เกิดช่องใหม่อีก 24 ช่องพร้อมกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแทบทุกช่องขาดทุนยับ ขาดทุนสะสมรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท

วิธีแก้คือ “ลดต้นทุนละคร” ที่ทำให้พระเอก-นางเอกรุ่นใหม่เงินเดือนลดลง 50–70% แถมเน้นการถ่ายละครเร็วขึ้น ใช้ฉากซ้ำ ทีมงานน้อยลง ทำให้คุณภาพของละครลดน้อยลงไป

การเข้ามาของ “สมาร์ทโฟน” ดาบสุดท้ายซ้ำวงการบันเทิงไทย ตายเรียบ!

ภาพจาก freepik.com

จากที่มันแย่คราวนี้ก็แย่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีสมาร์ทโฟนเข้ามาในช่วงปี 2553 ซึ่งตัวเลขของคนมีสมาร์ทโฟนเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 8 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 12% ของประชากรในปี 2553 มาเป็น 72 ล้านเครื่องหรือคิดเป็น 98% ในปี 2565 มาถึงตอนนี้ปี 2568 คนไทยมีสมาร์ทโฟนกันแทบทุกคนบางคนมี 2-3 เครื่อง และสมาร์ทโฟนนี่เองที่ทำให้วงการบันเทิงไทยสาหัสได้แท้จริง ด้วยเหตุผลหลายประการคือ

  • คนเลิกรอละครหลังข่าว 20:30 น. เพราะดูย้อนหลังในโทรศัพท์ได้ทันที
  • เรตติ้งละครหลังข่าวตกลงอย่างน่าใจหาย ตัวเลขจาก 30-40 เหลือแค่ 3-4 ก็ดีใจแล้ว
  • โฆษณาฟรีทีวีหาย 70% ใน 10 ปี
  • ร้านขายซีดีปิดเกือบหมดภายใน 5 ปี
  • นักร้องไทยต้องหันไปหาเงินจาก YouTube Ads + TikTok Gift แทน
  • เด็กไทยยุคใหม่ไม่ฝันอยากเป็น “ดารา” แล้ว แต่ฝันอยากเป็น “ครีเอเตอร์”
  • จำนวนนักเรียนที่สอบเข้า คณะนิเทศศาสตร์/วารสารศาสตร์/ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการแสดง-กำกับการแสดง ลดลง 60–70% ใน 10 ปี
  • โรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังปิดตัวไปเกือบหมด
  • ดาราไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่แล้ว เพราะมีรายได้จากโทรศัพท์เครื่องเดียว
  • ปี 2568 มีดารา A-list หลายคน “ออกจากค่าย” ไปเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัว

ถ้าให้สรุปว่าพลังของสมาร์ทโฟนทำแค่ 3 อย่างแต่มีผลกระทบหนักต่อวงการบันเทิงไทย คือสมาร์ทโฟนทำให้ทุกอย่างแบบฟรีและทันที และยังทำให้ทุกคนเป็นสื่อเองได้ และแน่นอนว่าทำให้ความอดทนในการเสพสื่อของคนไทยหายไปอย่างสิ้นเชิง

วงการบันเทิงไทย “ยังไม่ตายสนิท” แต่ฟื้นมาก็ไม่เหมือนเดิม

ภาพจาก freepik.com

การเข้ามาของเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชี่ยลต่าง ๆเหมือนเป็นผู้ร้ายที่ทำให้วงการบันเทิงไทยวิกฤติหนักถึงขนาดที่มองว่ามันคือการ “อวสาน” แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีข้อดีที่เปลี่ยนโฉมวงการบันเทิงไทยให้แตกต่างไปจากเดิมคือ

  1. ดาราไม่ต้องพึ่งฟรีทีวีหรือค่ายใหญ่อีกต่อไป
  2. กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของดาราที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นการ Live ขายของ ซึ่งดาราไทยหลายคนทำยอดขายต่อไลฟ์ ได้มากกว่า 10–100 ล้านบาท
  3. คลิป 15–60 วินาที ทำให้คนหน้าใหม่ดังได้โดยไม่ต้องมีละคร 7–8 ตอน โดยพวกค่ายหนัง/ละครเริ่มแคสติ้งจากยอดฟอลโลว์ IG/TikTok จริงจังตั้งแต่ปี 2563

อย่างไรก็ดีก็ต้องระวังผลในแง่ลบที่ต้องเตรียมรับมือเช่น ดังเร็วก็เงียบเร็ว ซึ่งอายุการดังเฉลี่ยเหลือแค่ 1-3 ปีจากสมัยก่อนยุคเฟื่องฟูที่ดังยาว 10-20 ปี หรือการที่ความสามารถในการแสดงกลายเป็นเรื่องรอง เพราะเอาแค่คนดังที่มีกระแสมาเป็นตัวหลักกระแสหมดก็แยกย้ายกันไป

แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความไม่ยุติธรรมจาก “เทคโนโลยี” เพราะก่อให้เกิดรายได้กระจุกตัวเฉพาะคนที่ดังซึ่งมีแค่ 1-2% ส่วนพวกดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงกลายเป็นแทบไม่มีงาน ซึ่งเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในวงการบันเทิงยุคใหม่ที่ดาราหันไปทำอาชีพอื่นมากขึ้นตามที่เป็นข่าว

มองวงการบันเทิงไทยในอีก 5-10 ปีต่อจากนี้

ภาพจาก freepik.com

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าดิจิทัลจะเป็นกระแสหลักของโลกต่อจากนี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นสะดวกเน้นความเป็นดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z/Alpha (เกิดหลัง 2560) เป็นกลุ่มหลัก 80% ของการเสพสื่อ เน้นคอนเทนต์สั้น, ส่วนตัว ธุรกิจวงการบันเทิงในหลายส่วนต้องเร่งปรับตัวให้ทันกระแสโลกยุคใหม่ เพราะการจะกลับไปจุดเดิมเหมือนในอดีตคงเป็นไปไม่ได้

ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยอาจจะยังไม่ถึงกับ “อวสาน” แต่กำลังจะแพ้ให้กับหลายอย่างทั้ง “การเปลี่ยนแปลงของเวลา” “พฤติกรรมผู้คนที่ไม่อยากรออีกต่อไป” หรือ แพ้ให้กับโลกยุคใหม่ที่มีทางเลือกมากเกินไป” จนทำให้ความเป็นหนึ่งเดียว” นั้นหายไปตลอดกาล

ยุคทองของวงการบันเทิงอาจจะจบลงแล้วจริง ๆ ที่เหลือต่อจากนี้คือความพยายามในการปรับตัวและสร้าง “วงการบันเทิงแบบใหม่” ที่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าเดิม แต่ก็ยังเป็นทางรอดที่พอมองเห็นได้ในอนาคต

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด