หน้าตาดี = ขายดี! First Impression เพิ่มยอดขาย 30%
ความประทับใจแรก (First Impression) มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการกำหนดความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา การสร้างแบรนด์ หรือการดึงดูดลูกค้า จิตวิทยายืนยันว่ามนุษย์ใช้เวลาเพียง 7 วินาทีในการตัดสินผู้อื่นจากหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอก
สอดคล้องกับคำว่า หน้าตาดี = ขายดี ที่อาจไม่ได้หมายถึงแค่พ่อค้าแม่ค้าแต่รวมถึงรูปแบบร้าน สินค้าที่นำเสนอ อาจพูดได้ว่าเป็น เทรนด์ยุคใหม่ ที่โซเชียลมีเดียและภาพลักษณ์มีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials อย่างไรก็ตาม เทรนด์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นการต่อยอดจากจิตวิทยาการรับรู้และพฤติกรรมผู้บริโภคที่พัฒนามาตามยุคสมัย มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นชัดว่า 80% ของ Gen Z ตัดสินใจซื้อสินค้าจากภาพหรือวิดีโอที่เห็นในโซเชียลมีเดีย โดย 60% ให้ความสำคัญกับความสวยงามของภาพลักษณ์แบรนด์หรือพรีเซ็นเตอร์
หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! โอกาสประสบความสำเร็จสูง

“Pretty Privilege” เป็นแนวคิดที่ยืนยันได้ดีว่าสิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ก็คือ “การแต่งกายและภาพลักษณ์” เพราะก่อนที่เราจะได้พูดหรือแสดงความสามารถใด ๆ ออกมา ร่างกาย สีสัน และสไตล์ที่เราเลือกใส่ในแต่ละวัน ได้กลายเป็นภาษาที่สื่อสารแทนตัวเราไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีคนส่วนใหญ่จะตีความว่าคนหน้าตาดีได้เปรียบคนหน้าตาธรรมดา เพียงเพราะเขาหน้าตาดี แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียด เคล็ดลับความสำเร็จของคนหน้าตาดี ก็คือ “ความมั่นใจ” ที่คนกลุ่มนี้จะรู้สึกว่าตัวเองเพอร์เฟคในทุกด้าน ทั้งรูปร่าง หน้าตา เสียง บุคลิกภาพ จึงนำไปสู่พฤติกรรมการแสดงออกที่ดูน่าเชื่อถือส่งผลโดยตรงต่อคนที่พูดคุยหรือรู้จักที่รับรู้ถึงความมั่นใจที่เปล่งประกายนั้นได้อย่างดี
First Impression มีผลต่อการสร้างยอดขายได้มากแค่ไหน

การใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาการตัดสินจากหน้าตาในด้านการค้าขายช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้า สร้างความไว้วางใจ และเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี ด้วยการออกแบบภาพลักษณ์ของร้านค้า พนักงาน หรือผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความคาดหวังของลูกค้า มีตัวเลขน่าสนใจที่สะท้อนให้เห็นประโยชน์ของ First Impression ได้แก่
- ร้านค้าที่ปรับปรุงภาพลักษณ์หน้าร้านและพนักงานสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ได้ถึง 25% และยอดขายต่อลูกค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15%
- การใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เหมาะสมเพิ่ม Conversion Rate ได้ 20-30%
- 55% ของความประทับใจลูกค้าเกิดจากภาษากายเช่น รอยยิ้ม การสบตา น้ำเสียงที่เป็นมิตร
- 70% ของผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าจากบรรจุภัณฑ์ที่ดูน่าสนใจ แม้ว่าราคาจะสูงกว่าคู่แข่ง
- 65% ของนักลงทุนยอมรับว่ารูปลักษณ์ของผู้ก่อตั้งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน
- 40% ของลูกค้าจดจำโลโก้หรือแพ็กเกจจิ้งที่สะท้อนความเป็นแบรนด์ออกมาได้ชัดเจน
อย่างไรก็ดีการปรับปรุงและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการประยุกต์เอาแนวคิด Pretty Privilege มาใช้แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญและควรใช้ร่วมกับกลยุทธ์ด้านการตลาดต่างๆ ให้ถูกต้องเหมาะสมเพื่อจะได้เพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายมากขึ้น
ธุรกิจที่นำ First Impression มาใช้ประโยชน์

ถ้าเราไปดูในกลุ่มธุรกิจจะเน้นรูปแบบของ First Impression เยอะมากขึ้นอยู่กับไอเดียและการนำเสนอของแต่ละแบรนด์แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทธุรกิจ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น
ร้านกาแฟ / คาเฟ่ ที่เปลี่ยนยูนิฟอร์มพนักงานจากเสื้อยืดธรรมดาเป็นชุดที่มีโลโก้แบรนด์และสีสันสดใส พร้อมอบรมให้พนักงานยิ้มและทักทายลูกค้า ผลลัพธ์คือการสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 18%
ร้านเสื้อผ้าแฟชันออนไลน์ที่จ้างอินฟลูเอนเซอร์วัยรุ่น โปรโมตคอลเลกชันใหม่ ผลลัพธ์คือยอดขายในเดือนแรกเพิ่มขึ้น 35% และยอด Engagement ในโพสต์เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับการใช้ภาพถ่ายสินค้าแบบไม่มีพรีเซ็นเตอร์
ร้านอาหารที่อบรมพนักงานให้ทักทายลูกค้าด้วยรอยยิ้มและแนะนำเมนูด้วยท่าทางที่กระตือรือร้น ผลคือยอดทิปจากลูกค้าเพิ่มขึ้น 20% และอัตราการกลับมาใช้บริการเพิ่มจาก 30% เป็น 45%
แบรนด์น้ำดื่มระดับพรีเมี่ยมที่เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์จากขวดพลาสติกธรรมดาเป็นขวดแก้วดีไซน์มินิมอล พร้อมโลโก้พิมพ์นูน ผลลัพธ์คือยอดขายเพิ่มขึ้น 28% ในกลุ่มลูกค้าระดับสูง และแบรนด์ได้รับการจดจำเพิ่มขึ้น 40%
ร้านชานมไข่มุกที่ ออกแบบร้านด้วยสีพาสเทลและใช้พนักงานที่มีสไตล์ทันสมัย พร้อมถ่ายรูปลง Instagram ผลลัพธ์คือยอด Engagement ในโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 50% และยอดขายเพิ่ม 20% ในกลุ่มวัยรุ่น
แบรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพใช้ภาพถ่ายสินค้าที่มีสีสันสดใสและจ้างอินฟลูเอนเซอร์มาโปรโมต ส่งผลให้ยอดคลิกโฆษณาเพิ่ม 45% และ Conversion Rate เพิ่ม 28%
ภาพจาก https://elements.envato.com
ถ้ามองในตลาดออนไลน์ปัจจุบันเราจะเห็นว่าพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่เน้นความหน้าตาดี ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกคนดู อย่างน้อยก็ดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น หรือบรรจุภัณฑ์ที่ดูแปลกและน่าสนใจย่อมเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่าบรรจุภัณฑ์ธรรมดา สิ่งเหล่านี้คือ First Impression ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเราก่อน
โดยยังไม่รู้ถึงคุณประโยชน์หรือคุณภาพที่แท้จริง แต่ตัดสินใจไปก่อนเพราะรู้สึกประทับใจ แต่หากลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ประทับใจในภายหลังและไม่ได้กลายเป็นลูกค้าประจำ การใช้ First Impression ก็จะเป็นเหมือนแค่ไฟไหม้ฟาง วูบวาบแค่ครั้งเดียว แบรนด์ก็ต้องเหนื่อยในการหาลูกค้าเพิ่ม ดังนั้น First Impression ดี คุณภาพสินค้าก็ต้องดีด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




