ซื้อใจลูกค้าด้วย Contextual Marketing เพิ่มยอดขาย 20% ให้ธุรกิจ
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นทุกวัน การทำการตลาดแบบเดิมๆ อาจไม่เพียงพอ Contextual Marketing หรือการตลาดที่ใช้บริบท (Context) เป็นตัวขับเคลื่อน นับเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงจุดและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Contextual Marketing อธิบายให้เข้าใจง่ายคือการทำการตลาดที่ปรับแต่งข้อความหรือแคมเปญให้เหมาะสมกับบริบทของลูกค้า เช่น ความสนใจ พฤติกรรม สถานที่ หรือช่วงเวลาที่ลูกค้าโต้ตอบกับแบรนด์ ด้วยการใช้ข้อมูลบริบทเหล่านี้ แบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้มีโอกาสปิดการขายสูงขึ้น
มีหลายปัจจัยที่สนับสนุนว่าทำไม Contextual Marketing ถึงสำคัญในด้านการตลาด
- Conversion Rate สูงขึ้น 3–5 เท่า อันเกิดจากการส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการ ณ ขณะนั้น เช่น โปรโมชันกาแฟใกล้สาขาที่ลูกค้าเดินผ่าน ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที
- เพิ่มยอดขายเฉลี่ย 20–30% โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกและอาหารที่ใช้ contextual marketing มักเห็นยอดขายโตขึ้นในช่วงแคมเปญ
- ROI สูงกว่า Marketing ทั่วไป 2–3 เท่า เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ “พร้อมซื้อ” มากกว่า ไม่ต้องสิ้นเปลืองยิงโฆษณากว้างๆ
- Customer Engagement เพิ่มขึ้น 40–60% เนื่องจากลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจตนเองมากขึ้น ก่อให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ที่สูงขึ้น และมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ
กลยุทธ์ Contextual Marketing มี 5 เทคนิคสำคัญได้แก่

1. ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า
ยกตัวอย่างร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด QuickBite ใช้แอปพลิเคชันเก็บข้อมูลว่าลูกค้าคนไหนสั่งเมนูไก่ทอดบ่อย เมื่อลูกค้ากลับมาใช้บริการ แอปจะแนะนำคอมโบไก่ทอดพร้อมส่วนลด 10% ส่งผลให้ยอดสั่งคอมโบเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งการใช้ข้อมูลลักษณะนี้ช่วยให้ร้านนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าชอบโดยไม่ต้องเดา ลดโอกาสที่ลูกค้าจะปฏิเสธ และเพิ่มยอดขายต่อบิลมากขึ้น
2. ปรับตามสถานที่ (Location-Based Marketing)
การปรับกลยุทธ์การขายให้สื่อสารกับลูกค้าในช่วงเวลาที่เคยมียอดขายลดลงอาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมลูกค้าในช่วงนั้นยกตัวอย่างร้านกาแฟ “BrewHaus” ที่ส่งแจ้งเตือนผ่านแอปถึงลูกค้าที่เดินผ่านรัศมี 500 เมตรจากร้าน โดยเสนอโปร “ซื้อ 1 แถม 1” เฉพาะช่วง 14:00-16:00 ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกค้าน้อย ผลคือจำนวนลูกค้าในช่วงบ่ายเพิ่มขึ้น 20%
3. ปรับตามช่วงเวลา (Time-Based Marketing)
เป็นเทคนิคการกระตุ้นลูกค้าให้กลับมาซื้อเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เคยซื้อเป็นปกติ เป็นบริบทการส่งข้อความให้ลูกค้ามาซื้อซ้ำ เช่นร้าน MiniMart ที่ส่งโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังในช่วง 7:00-9:00 น. ผ่าน SMS ไปยังลูกค้าที่เคยซื้อเครื่องดื่มตอนเช้า พร้อมคูปองส่วนลด 5 บาท ทำให้ยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้น 25%
4. กระตุ้นยอดขายตามพฤติกรรมลูกค้า (Behavioral Targeting)
ย้ำเตือนให้ลูกค้าได้เห็นสินค้าและบริการที่เคยสนใจอันจะมีผลทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ยกตัวอย่างร้าน TrendyWea ที่เน้นการขายเสื้อผ้า ได้ใช้โฆษณา Facebook Retargeting โดยแสดงชุดออกกำลังกายให้ลูกค้าที่เคยดูหน้าเว็บสินค้าเกี่ยวกับชุดกีฬา และเพิ่มข้อความว่า “ลด 15% สำหรับสัปดาห์นี้!” ผลคือยอดคลิกโฆษณาเพิ่ม 30% และยอดขายชุดกีฬาเพิ่ม 18%

5. กระตุ้นการขายตามสภาพอากาศหรือเหตุการณ์
ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออากาศร้อนจัด ร้านไอศกรีม CoolScoop ได้ส่งโฆษณาไอศกรีมรสผลไม้ผ่าน Line Official พร้อม โปรโมชัน “ซื้อ 2 ถ้วย ลด 20%” ทำให้ยอดขายในวันร้อนเพิ่มขึ้น 35%
การใช้ Contextual Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังเหมือนกรณีตัวอย่างของ BrewHaus ร้านกาแฟชื่อดังที่มียอดขายเฉลี่ย 100,000 ต่อเดือนแต่มีลูกค้าน้อยในช่วงบ่าย การนำ Contextual Marketing ด้วยการส่งแจ้งเตือนโปรโมชันผ่านแอปเมื่อลูกค้าอยู่ใกล้ร้าน , เสนอส่วนลด 20% เฉพาะช่วงบ่าย , แนะนำเมนูตามประวัติการสั่งซื้อ
เช่น ลาเต้เย็นสำหรับลูกค้าที่ชอบกาแฟเย็น หรือการโฆษณาเครื่องดื่มเย็นในวันร้อน และชาร้อนในวันฝนตก วิธีการเหล่านี้ช่วยให้ร้านมีลูกค้าช่วงบ่ายเพิ่มจาก 10 เป็น 25 คน/วัน และยอดขายต่อวันเพิ่มจาก 3,000 เป็น 4,500 บาท ยอดขายต่อเดือนเพิ่มจาก 100,000 เป็น 135,000 บาท เพิ่มขึ้นถึง 35%
แม้ว่าเทคนิค ซื้อใจลูกค้าด้วย Contextual Marketing จะได้ผลดีจริงแต่ก็มีข้อควรระวังเช่น อย่าส่งโฆษณาบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญ และควรเลือกใช้แพลตฟอร์มในการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้อง ถูกเวลาเพื่อที่จะสามารถสร้างแคมเปญที่ตรงใจลูกค้า ลดการสูญเสียงบโฆษณา และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ชัดเจน
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)