“ค้นหาจุดแข็ง StrengthsFinder” เพื่อความสำเร็จในชีวิต

มนุษย์ทุกคนมีจุดเด่น คำว่าจุดเด่นบางทีมันก็คือ “จุดแข็ง” คำว่าจุดแข็งคือสิ่งที่เรามี เราทำได้ดีที่สุด ดังนั้นจุดแข็งของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน บางคนโดดเด่นเรื่องทักษะด้านกีฬา ดนตรี มีความสามารถร้อง เล่น เต้น แต่บางคนไม่ได้มีความสามารถเหล่านี้แต่เขาก็มีจุดแข็ง

เช่น เป็นคนละเอียดรอบคอบ เป็นคนมีหัวการค้า เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จุดแข็งของแต่ละคนจึงมาในหลายรูปแบบ แต่ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ “ไม่รู้จุดแข็งตัวเอง” ผลเสียคือเลือกเดินผิดทาง แทนที่จะเดินในทางที่ตัวเองถนัดกลับไปเดินตามเส้นทางที่คนอื่นเขาทำ

ซึ่ง www.ThaiSMEsCenter.com มองว่าเสียโอกาสที่จะพาชีวิตตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รวมเทคนิคการค้นหาจุดแข็งตัวเอง ให้ลองศึกษาชีวิตจะได้เดินไปตามเส้นทางที่ควรจะเป็นได้

จุดแข็ง (Strengths)

ค้นหาจุดแข็ง

ภาพจาก freepik

จุดแข็งของตัวเราคือการมองจากปัจจัยภายใน หรือ ตัวเรานั่นเอง การวิเคราะห์และประเมินตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้เรารู้ตัวเองว่าเรามีจุดแข็งอะไร เราอาจจะต้องลองตั้งคำถามให้กับตัวเองดังต่อไปนี้ หรือไปถามคนในครอบครัว คนใกล้ชิด หรือ เพื่อน ว่าเรามีจุดแข็งอะไร แล้วมาเปรียบเทียบกับที่ตัวเราเองคิด จะได้ข้อมูลที่ไม่อคติจนเกินไป และพฤติกรรมเป็นอะไรที่ได้เปรียบ มีจุดเด่น ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็มี เช่น มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง , ความคิดรอบคอบ , ใจกล้า , ชอบเรียนรู้ , มีความรับผิดชอบ , มีความสามารถเฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง เป็นต้น

จุดอ่อน (Weakness)

27

ภาพจาก freepik

การวิเคราะห์จุดอ่อน เรามองเห็นไหมว่าเราอ่อนหรือขาดเรื่องอะไร ทำยังไงถึงรู้ว่าเราขาดหรืออ่อนเรื่องอะไรนั้น วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การเข้าไปอ่านในการประกาศรับสมัครงานขององค์กรหรือหน่วยงานนั้น ๆ หรือ ถามเพื่อนๆ หัวหน้างาน หรือ ถ้าเรายังเป็นนักศึกษาอยู่ลองไปถาม ครู อาจารย์ ว่าเราขาดคุณสมบัติของไหน หรือ ความสามารถไม่พอ เช่น ไม่กล้าแสดงออก , เป็นคนคิดช้า , มีโลกส่วนตัวสูง , ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ , เอาแต่ใจตัวเอง , หงุดหงิดง่าย เป็นต้น

แบบทดสอบค้นหา “จุดแข็ง” ของ Clifton StrengthsFinder

มีแบบทดสอบ Clifton StrengthsFinder จะช่วยค้นหาจุดแข็งของผู้ทำแบบประเมิน ซึ่งแบบทดสอบนี้ถูกพัฒนามาโดยตลอดตั้งแต่ปี 1949 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ทำแบบประเมินไปมากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลกแล้ว ส่งผลให้แบบทดสอบนี้มีความแม่นยำสูงและน่าเชื่อถือมาก โดยรูปแบบของจุดแข็งหรือพรสวรรค์ในแบบทดสอบนี้มีมากกว่า 34 แบบ

เหตุผลที่เราควรทำแบบทดสอบเพื่อหาจุดแข็ง คือเพื่อให้เรารู้ว่าเราเก่งด้านใด และจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับการแก้ปัญหาจุดอ่อน เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ สู้เอาเวลามาต่อเติมจุดแข็งตัวเองให้โดดเด่นขึ้นไปชีวิตจะประสบความสำเร็จได้เร็วกว่า

เช่น บางคนมีจุดแข็งที่ชอบแก้ไขปัญหาต่างๆ อาชีพที่เหมาะสมก็คืองานใดๆ ที่มีปัญหาให้แก้ตลอดเวลา เช่น อาชีพให้คำปรึกษา, แพทย์ อาชีพเหล่านี้จะเจอปัญหาใหม่ๆและมีให้แก้อยู่ทุกๆวัน ซึ่งถ้าเลือกไปทำอาชีพที่ไม่ค่อยได้แก้ปัญหาก็เท่ากับเสียจุดแข็งที่มีไปโดยเปล่าประโยชน์ และเมื่อเป็นจุดแข็งที่เรามีเราย่อมจะทำมันออกมาได้ดีเสมอ

3 เทคนิคการค้นหา “จุดแข็งพนักงาน” เพื่อพัฒนาธุรกิจ

เรื่องการค้นหา “จุดแข็ง” พนักงานในระดับองค์กร บริษัทก็มีความสำคัญ โดยมีวิธีน่าสนใจดังนี้

26

ภาพจาก freepik

1. ลิสต์คุณสมบัติพนักงานที่จำเป็นต้องมีในแต่ละตำแหน่ง

เพื่อเป็นการกำหนดกรอบในเบื้องต้น เช่น ในตำแหน่งนี้ต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านคิดแคมเปญทางการตลาด การวิเคราะห์คู่แข่ง ทักษะการนำเสนอโครงการ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะการเจรจาต่อรอง และการประสานงานกับฝ่าย
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

2. ให้พนักงานแต่ละคนสำรวจตนเอง

เมื่อพนักงานได้สำรวจจุดเด่นของตัวเองและลิสต์จุดแข็งของตนเองออกมาโดยอาจให้ไกด์ไลน์เป็นคำถาม เช่น อะไรคือสิ่งที่เขาคิดว่าตนเองทำแล้วประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต คุณสมบัติอะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น และเขาจะนำประสบการณ์นั้นมาพัฒนาการทำงานของเขาได้อย่างไร เมื่อพนักงานสามารถตอบคำถามข้างต้นได้ ก็จะลิสต์จุดแข็งของตนออกมาได้ง่ายขึ้น

3. นำลิสต์คุณสมบัติที่เราต้องการกับ ลิสต์จุดแข็งของพนักงานมาวิเคราะห์

เมื่อได้ลิสต์คุณสมบัติตำแหน่งที่เราเขียน กับลิตสต์จุดแข็งของพนักงานแต่ละคน จึงค่อยนำมาเทียบกันเพื่อวิเคราะห์ว่า พนักงาน แต่ละคนควรได้รับการส่งเสริมจุดแข็งในด้านไหน และจุดแข็งเขาอยู่ในระดับใด ควรได้รับการพัฒนาอย่างไร โดยให้เขาได้แสดงความคิดเห็นว่า เขาต้องการให้บริษัทสนับสนุนเขาในเรื่องดังกล่าวอย่างไร เช่น ให้เขาได้รับการฝึกอบรมเพิ่มเติม รวมทั้งฝึกฝนอย่างต่อเนื่องในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อให้เขาพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพ และมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ตามเป้าหมายและการวัดผลที่กำหนดชัดเจน

25

ภาพจาก freepik

หลายองค์กรมองข้าม “จุดแข็งพนักงาน” และพยายามสร้างองค์กรในรูปแบบของตัวเอง และกำหนดกรอบพนักงานให้เป็นไปตามที่เจ้านายต้องการ ข้อดีของการทำงานแบบนี้คือเอกภาพที่ชัดเจน แต่ข้อเสียคือพนักงานจะทำงานด้วยความรู้สึกเรื่อยๆ ทำไปวันๆ ทำให้จบๆ ไป พนักงานไม่อยากคิด ไม่อยากให้ความร่วมมือกับองค์กร เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญและไม่ใช่หน้าที่ สุดท้ายองค์กรจะเติบโตได้ช้า ด้วยเหตุผลว่าองค์กรนั้น ๆไม่รู้จักการดึงศักยภาพของพนักงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์

ขอบคุณข้อมูล

https://bit.ly/2PSDXPl , https://bit.ly/38Dtnm3 , https://bit.ly/30IuZGB , https://bit.ly/3lhCbTE , https://bit.ly/30ICw8q

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด