การทำงานแบบ “DISC Model” ลองดูว่าตัวเราอยู่กลุ่มไหน?

การเป็นเจ้านายที่ดีไม่ใช่แค่มีเงินมาจ้างลูกน้อง สิ่งสำคัญคือต้องเป็นคนที่เข้าใจลูกน้อง รู้จักดึงความสามารถของลูกน้องมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่ายึดมั่นอยู่แต่ความคิดตัวเอง อย่าคิดว่าเราเข้าใจแล้วทุกคนต้องเข้าใจเหมือนที่เราคิด องค์กรใดที่ได้เจ้านายมีวิสัยทัศน์ในเรื่องดังกล่าว ย่อมเติบโตก้าวหน้าได้มาก

หนึ่งในโมเดลน่าสนใจที่ www.ThaiFranchiseCenter.com และ www.ThaiSMEsCenter.com คิดว่าน่าจะเป็นความรู้ให้กับคนที่ทำธุรกิจได้ศึกษาเรียกว่า DISC Model ที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถบริหารจัดการทีมงานและลูกน้องได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

DISC Model คืออะไร?

การทำงานแบบ

ภาพจาก https://pixabay.com/

DISC Model คือ โมเดลหรือรูปแบบของศาสตร์ทางจิตวิทยาที่ใช้วัดพฤติกรรมการทำงานด้านบุคลิกภาพที่สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนประเภทไหนในการทำงาน สังเกตจากพฤติกรรมการทำงาน ว่ามีจุดเด่นในการทำงานอย่างไร หรือมีข้อจำกัดอย่างไร โดย DISC Model สามารถวัดพฤติกรรมการทำงานของมนุษย์ได้ 4 แบบ คือ D (Dominance), I (Influence), S (Steadiness) และ C (Compliance)

DISC Model เริ่มต้นจาก Dr. William Marston ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาจิตวิทยา โดยเป็นนักทฤษฏีเกี่ยวกับความเสมอภาค ที่สำคัญคือเจ้าของทฤษฏี DISC Model ที่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือ “Emotion of Normal People” ซึ่งได้พูดถึงกระบวนการทำงานของอารมณ์ความรู้สึกในคนปกติ ที่นำไปสู่ลักษณะพฤติกรรมที่มีความหลากหลาย และจากทฤษฏีของ Dr. William ดังกล่าว Walter Clark นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมได้นำทฤษฏีนี้ไปสร้างเป็นแบบทดสอบ

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการคัดเลือกบุคลากรเข้าสู่องค์กร โดย 4 รูปแบบพฤติกรรมที่ Walter ใช้เรียกในแบบทดสอบคือ Aggressive , Sociable , Stable และ Avoidant และจากจุดเริ่มต้นตรงนี้ก็มีอีกหลายคนที่ได้พัฒนา ได้ทำการวิจัยต่อยอดจนกลายมาเป็นแบบทดสอบ DISC ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ประโยชน์ของ DISC Model สำหรับธุรกิจ

14

ภาพจาก https://pixabay.com/

เราสามารถนำ DISC Model ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในองค์กรได้หลายอย่างเช่น

  1. เพิ่มศักยภาพ พัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากร รู้จุดแข็งของพนักงานและสามารถดึงมาใช้งานได้มากขึ้น ตรงไหนที่เป็นจุดอ่อนก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อสัมพันธภาพในการทำงานที่ดี
  2. ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างบรรยากาศทำงานเป็นทีม เพราะเมื่อทุกคนเรียนรู้ซึ่งกันและกันก็จะเข้าใจกันได้มากขึ้น
  3. เพิ่มคุณภาพในการบริหารงาน สำหรับเจ้านายที่รู้จักใช้โมเดลนี้จะทำให้เข้าใจลูกน้องและบริหารงานในองค์กรได้มีคุณภาพมากขึ้น
  4. เพิ่มคุณภาพในการขายและการให้บริการ เพราะเมื่อเราเข้าใจลักษณะของลูกค้า รู้สิ่งที่เขาชอบไม่ชอบ รู้สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ เราก็จะปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากที่สุด

สำรวจตัวเอง เราเป็นคนแบบไหน ใน DISC Model

โดยแบ่งเป็นทั้งหมด กลุ่มได้แก่ D (Dominance), I (Influence), S (Steadiness) และ C (Compliance)

1.กลุ่ม D (Dominance)

13

ภาพจาก https://pixabay.com/

เป็นกลุ่มไฟแรง พร้อมทำงาน คนกลุ่มนี้มักเป็นคนที่ชอบความท้าทาย เน้นผลลัพธ์มากกว่าสิ่งใด ตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่ามีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ชอบการบังคับ หรืออยู่ในกฎเกณฑ์มากเกินไป เป็นคนเด็ดขาด ชอบความรวดเร็ว ไม่ชอบงานที่มีระบบระเบียบขั้นตอนเยอะ ด้วยพฤติกรรมการทำงานแบบนี้จึงทำให้ขาดความรอบคอบ จึงอาจทำให้ผิดพลาดในส่วนของรายละเอียดเล็กน้อยเสมอ ลองสำรวจตัวเองดูหากเราคือคนตัดสินใจเร็ว หัวร้อนง่าย มั่นใจสูง ไม่ชอบใครบังคับ ไม่ชอบทำงานที่มีขั้นตอนเยอะคุณคือคนกลุ่มD แน่นอน

2.กลุ่ม I (Influence)

12

ภาพจาก https://pixabay.com/

นิยามคนกลุ่มนี้คือมองโลกแง่ดี บางทีถึงขึ้นโลกสวยเลยทีเดียว พฤติกรรมคนกลุ่มนี้จะมีความกระตือรือร้นสูงมากถึงมากที่ที่สุด ชอบการเข้าสังคม คนยิ่งเยอะยิ่งดี การพบปะผู้คนมากมายถือว่าเป็นความสุขประเภทหนึ่ง ที่สำคัยเป็นกลุ่มคนที่ มองโลกในแง่ดี เป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคน เรียกได้ว่ามีพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เน้นการทำงาน เพราะเน้นการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับออฟฟิศอยู่เสมอ

3.กลุ่ม S (Steadiness)

11

ภาพจาก https://pixabay.com/

คนที่มีพฤติกรรมแบบกลุ่ม S ส่วนใหญ่เป็นคนเงียบๆ แต่งานเป๊ะมาก ลักษณะส่วนใหญ่เป็น คนใจเย็น เป็นผู้รับฟังที่ดี เสมอต้นเสมอปลาย ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ มีไหวพริบดี ชอบความเป็นขั้นเป็นตอนของการทำงาน เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของเพื่อนร่วมทีม แต่ข้อสำคัญที่ DISC Model ได้กล่าวถึงคนประเภทนี้ไว้ว่าไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์ขัดแย้งเป็นที่สุด ไม่ชอบถูกบังคับให้ตัดสินใจในทันที ส่วนใหญ่ชอบอยู่ในเซฟโซนของตัวเองมากกว่า

4.กลุ่ม C (Compliance)

10

ภาพจาก https://pixabay.com/

DISC Model ได้ระบุว่าพฤติกรรมของคนในกลุ่มนี้มีความเป็น Perfectionist ชอบงานที่เป็นระบบ การวิเคราะห์ต้องมาก่อน จนบางทีมองดูว่าเป็นกลุ่มคนที่เครียดอยู่พอสมควร ทุกอย่างต้องเป็นจริงเป็นจังอยู่เสมอ หน้าที่ความรับผิดชอบต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด มีเหตุผล แต่มีข้อดีมากในการทำงานเป็นทีม เพราะด้วยความที่เป็น Perfectionis จึงทำให้ได้ผลงานที่ออกมาดีแต่ในกระบวนการทำงานอาจจะเครียดมากหากมีคนกลุ่มนี้มารวมตัวกันมากไป

สิ่งที่น่าสังเกตคือ DISC Model จะแยกพฤติกรรมจุดเด่นของคนในแต่ละกลุ่ม ซึ่งถือเป็นจุดเด่น จุดแข็ง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มี สิ่งที่คนแต่ละกลุ่มไม่ชอบไม่ต้องการ และเมื่อได้เจอกับสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ต้องการ อาจมีผลกระทบต่อการทำงาน จึงเป็นหน้าที่ของเจ้านาย ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หัวหน้างาน ที่ควรจะรู้ว่าควรใช้วิธีไหนในการดึงศักยภาพลูกน้องให้ออกมาได้มากที่สุด เพื่อให้องค์กรได้พัฒนาเดินหน้าได้อย่างสูงสุด

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/2NkVRcM , https://bit.ly/3vrHapl

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3rZ80TC

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด