“Store Assortment” กลยุทธ์ร้านค้าปลีก ที่เจ้าของสินค้าต้องรู้!

ความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน สินค้าที่ขายดีในย่านนี้ อาจไม่เป็นที่ต้องการในย่านอื่น นี่คือหลักการเบื้องต้นที่คนทำธุรกิจต้องเข้าใจ เรียกว่าเป็นการจัดสรรสินค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่หรือที่เรียกว่า “Store Assortment”

ถ้ายังนึกภาพไม่ออกจินตนาการถึง 7-Eleven ที่ทุกคนน่าจะเคยสงสัยว่าทำไมบางสาขามีสินค้าชนิดนี้ แต่พอไปอีกสาขากลับหาสินค้าแบบเดียวกันนั้นไม่ได้

ยิ่งในปัจจุบันการแข่งขันมีสูง ถ้าร้านค้าปลีกไม่โฟกัสให้ถูกจุด ก็จะเป็นการลงทุนที่ได้กำไรยาก ในทางตรงข้ามถ้ารู้ว่าสินค้าไหนคือสิ่งที่กลุ่มลูกค้ามีความต้องการ จะทำให้ร้านค้าสามารถทุ่มการตลาดได้อย่างถูกจุด

ซึ่ง Store Assortment ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการดึงฐานข้อมูลลูกค้าจากระบบ CRM รวมถึงดาต้าที่เกิดจากจากการซื้อสินค้าพร้อมกับคิดคำนวณเอาสินค้าที่ขายดีที่สุด 20% มาจัดวางในตำแหน่งสำคัญ และขยายพื้นที่เชลฟ์ สินค้าขายดีจะมีพื้นที่ขายประมาณ 2-3 แถว และจะมีการชั้นวางสินค้าไว้ในจุดที่ปะทะสายตาผู้บริโภค คือชั้นบน และกลาง

Store Assortment

หากสังเกตให้ดีร้านสะดวกซื้อหรือซุเปอร์มาเก็ตต่างๆ นิยมใช้ Store Assortment มาก เวลาเดินเข้าร้านค้าปลีกเหล่านี้เราจะหาสินค้าที่เราต้องการได้ทันที เพราะมีการจัดวางเป็นหมวดหมู่ให้เห็นชัดเจน ซึ่งก็มีหลักการวางสินค้าเบื้องต้นคือ

  • Item A สินค้าขายดี มีประมาณ 20% ของรายการสินค้าทั้งหมด
  • Item B สินค้าขายได้ปานกลาง มีประมาณ 30% ของรายการสินค้าทั้งหมด
  • Item C สินค้าขายไม่ดี มีประมาณ 50% ของรายการสินค้าทั้งหมด

หลังจากแบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่มแล้วพนักงานก็จะนำสินค้าแต่ละกลุ่ม ไปเรียงบนชั้นวางสินค้า จากบนลงล่าง

  • สินค้า Item A ที่เป็นสินค้าขายดี จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 3 แถว
  • สินค้า Item B ที่ขายได้ปานกลาง จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 2 แถว
  • สินค้า Item C สินค้าที่ขายไม่ดี จะวางบนชั้นวางสินค้าประมาณ 1 แถว

จากนั้นจะมีการวิเคราะห์จากข้อมูลที่มี เพื่อหาเทรนด์สินค้าใหม่ หรือ New Product เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม เมื่อเป็นแบบนี้ สินค้า Item C ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายไม่ดี สุดท้ายก็จะถูกเอาออกไปจากชั้นวาง และ จะนำสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาวางขายแทนเมื่อมีระบบสินค้าหมุนเวียนแบบนี้ ก็จะทำให้ร้านค้าปลีกมีสินค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา

ทั้งนี้ Store Assortment มีประโยชน์ต่อร้านค้าปลีกในหลายด้านได้แก่

Store Assortment

1.ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

การเลือกสินค้าที่ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้

2.เพิ่มยอดขายและกำไร

สินค้าที่ได้รับการเลือกอย่างเหมาะสมสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าหลายรายการและเพิ่มมูลค่าการขายต่อรอบได้มากขึ้น

3.บริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ

ลดการสต็อกเกินหรือขาดแคลนสินค้า ทำให้ต้นทุนการเก็บรักษาลดลงได้อย่างชัดเจน

4.สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง

การเสนอสินค้าหลากหลายและมีความเฉพาะตัว ช่วยให้ร้านค้าดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นและกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ดีที่ลูกค้าจะจดจำได้ด้วย

รวมแบรนด์ดัง

5.ช่วยในการพัฒนาพื้นที่ขายภายในร้าน

เรียกว่าเป็นวิธีการจัดผังร้านแบบ “Grid” ที่ผนวกใช้ร่วมกับ Store Assortment ยกตัวอย่าง 7-Eleven ทุกสาขา จะวางตู้น้ำดื่มซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง ไว้บริเวณข้างในสุด ก่อนที่ลูกค้าจะเดินเข้าไปถึงด้านในก็ต้องผ่านสินค้าอื่นๆที่จัดเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ เพิ่มศักยภาพในการขายของร้านได้มากขึ้น

เรื่องของการบริหารจัดการพื้นที่ขาย รวมถึงการคัดเลือกสินค้าที่นำมาวางขายในสาขานั้น เป็นเรื่องที่ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องให้ความสนใจเพราะถือเป็นหัวใจของการขายในยุคนี้ ที่ต้องให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การมีData ที่แม่นยำมีข้อมูลและรู้ความต้องการลูกค้าจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มยอดขายได้มาก

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด