Sales Stagnation ยอดขายชะลอตัว! สัญญาณธุรกิจเสี่ยงเจ๊ง

ถ้าเราทำธุรกิจใดๆก็ตามตราบใดที่ยังมีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง ในฐานะเจ้าของก็คงคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ในอีกมุมหนึ่งมันคือสัญญาณอันตรายหากรายได้ที่เข้ามานั้นยังเท่าเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น และเป็นการเตือนภัยล่วงหน้าว่าธุรกิจของเราอาจกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติ

ตัวเลขน่าสนใจระบุชัดว่ายอดขายชะลอตัว = สัญญาณอันตราย

  • ธุรกิจที่ยอดขายไม่โต ติดต่อกันเกิน 3–4 ไตรมาส ถือว่ามีความเสี่ยงสูง
  • งานวิจัย Review พบว่า 60% ของธุรกิจที่ยอดขายไม่โตต่อเนื่อง 2 ปี จะเผชิญภาวะขาดทุน
  • ข้อมูลระบุว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีบริษัทกว่า 18,000 บริษัทปิดกิจการ โดยสาเหตุหลักมาจากยอดขายไม่ถึงเป้าและสภาพคล่องติดลบ

เหตุผลง่ายๆ ว่าทำไมยอดขายเท่าเดิมธุรกิจเราจะเสี่ยงเจ๊งนั่นก็เพราะ ต้นทุนที่เดิมขึ้นในทุกปีคือตัวแปรที่ทำให้กำไรของเรามีแต่จะลดลงถ้ายอดขายเราไม่เพิ่ม ยกตัวอย่างเคสร้านอาหารทั่วๆ ไปเนื้อหมูจากกิโลกรัมละ 180 ก็เพิ่มเป็น 200 น้ำมันพืชขวดละ 40 ก็เพิ่มเป็น 50

ไม่นับรวมเรื่องค่าไฟ , ค่าแก๊ส , ค่าขนส่ง และเงินเดือนพนักงานที่ต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ เบ็ดเสร็จถ้ารวมๆ แล้วต้นทุนเพิ่มขึ้นไปอีก 15-20% แต่ยอดขายเรายังอยู่เท่าเดิม นั่นคือกำไรที่หายไปและหากเอาตัวเลขนี้ไปทำเป็นกราฟก็จะได้แนวดิ่งที่อนาคตนำไปสู่ภาวะขาดทุนได้

ถ้ายังเห็นภาพไม่ชัดลองดูสัก 1 ตัวอย่าง เช่นร้านอาหารมีรายได้

  • ปีแรก รายได้ 1,000,000 ต้นทุนรวม 500,000 เท่ากับว่ามีกำไร 500,000
  • ปีที่สอง รายได้ 1,000,000 เท่าเดิม แต่ต้นทุนรวมเพิ่มเป็น 700,000 เท่ากับว่ากำไรจะลดเหลือแค่ 300,000
  • ปีที่สาม รายได้ 1,000,000 เหมือนเดิม แต่ต้นทุนรวมเพิ่มเป็น 800,000 กำไรในปีนี้จะเหลือแค่ 200,000 เป็นต้น

เหตุผลที่บางคนทำธุรกิจมียอดขายหลักล้าน รู้ตัวอีกทีธุรกิจอาจมีรายได้ติดลบและมาหาวิธีแก้ไขที่ปลายเหตุบางทีก็ไม่ทันสุดท้ายกิจการก็ไปต่อไม่ได้ มีหลายเหตุผลที่ควรรู้คือ

1.ไม่ได้คำนวณต้นทุนที่ชัดเจน

ถ้าทำการค้าขายโดยไม่รู้ว่าต้นทุนเราเท่าไหร่ โอกาสเจ๊งสูง ซึ่งการคิดต้นทุนที่แท้จริงไม่ใช่แค่การราคาสินค้าต่อจำนวนสินค้าแต่ต้องรวมเรื่องต้นทุนแฝงต่างๆ เข้าไปด้วย ซึ่งมีสูตรคำนวณคือ ต้นทุนการผลิต = (ต้นทุนวัตถุดิบ+ค่าแรงงาน+ค่าใช้จ่ายในการผลิต)/จำนวนสินค้าที่ผลิตในครั้งนั้น

2.ไม่จัดทำระบบบัญชีแยกส่วนตัวกับธุรกิจ

ข้อดีของการแยกบัญชีคือ ทำให้ไม่สับสนระหว่างค่าใช้จ่ายส่วนตัวกับค่าใช้จ่ายของร้านค้า ช่วยให้เห็นกำไรและค่าใช้จ่ายในส่วนของร้านได้ชัดเจน ในทางเดียวกันก็ยังช่วยให้วางแผนการเงินส่วนตัวได้ง่ายด้วย

3.ไม่รู้กำไร-ขาดทุนที่แท้จริง

การคำนวณงบกำไรขาดทุนสามารถทำได้ด้วยการนำยอดขาย หักลบด้วยต้นทุนอาหาร เพื่อหากำไรขั้นต้นก่อน จากนั้นจึงหักลบด้วยค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าแรง ค่าเช่าพื้นที่ ค่าดำเนินงาน ค่าเสื่อม และค่าการตลาด หากพบว่า กำไรน้อยไป หรือขาดทุนอยู่ ต้องหาวิธีเพิ่มยอดขาย หรือประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น

มีหลายเหตุของการที่ทำให้ “ยอดขายนิ่ง” เช่น การแข่งขันที่สูง , พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป , ต้นทุนที่สูง , ไม่ทำการตลาดมากพอ ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟท้องถิ่นมียอดขายเฉลี่ยวันละ 15,000 บาท หลังคู่แข่งชื่อดังอย่าง Starbucks หรือ Café Amazon เข้ามาเปิดสาขาใกล้เคียง ทำให้ยอดขายลดเหลือวันละ 9,000 บาท การที่รายได้หายไปกว่า 40% หากไม่มีการปรับกลยุทธ์ ก็เสี่ยงปิดกิจการได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดียอดขายที่หยุดนิ่งไม่ใช่จุดจบในทันที แต่เป็น “สัญญาณเรียกให้เปลี่ยนเกม”ธุรกิจที่รอดได้ มักจะ รีบปรับตัวทันเวลา ด้วยวิธีเหล่านี้

  1. วิเคราะห์ต้นเหตุอย่างจริงจัง ตรวจสอบว่า ปัญหามาจากอะไร โดยใช้ข้อมูลจากยอดขายรายสินค้า / กลุ่มลูกค้า
  2. เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด หรือทำตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น เลือกทำโปรโมชันอย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ปรับสินค้าและบริการให้ตรงใจ เช่นเพิ่มสินค้าใหม่เช่น อาหารสุขภาพ หรือทำแพ็กเกจเล็กลง ราคาจับต้องได้
  4. เพิ่มช่องทางขาย เช่นถ้ามีหน้าร้านก็เพิ่มขายออนไลน์หรือถ้ามีออนไลน์แล้วก็ขยายตลาดตามอีเว้นท์ต่างๆ
  5. บริหารต้นทุนอย่างฉลาด ตรวจสอบและตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือควรเพิ่มหรือลดอะไรเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น

ยุคนี้ที่ค่าครองชีพเพิ่มสูงต้นทุนทุกอย่างก็สูง การที่ธุรกิจมียอดขายชะลอตัวจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ควรตรวจเช็คธุรกิจตัวเองให้ดีและรีบปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงธุรกิจขาดทุนที่หนักสุดอาจถึงขั้นปิดกิจการได้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด