“Economies of Scale” สร้างธุรกิจรวยไว! ต้นทุนน้อย แต่ขายเยอะ
ในเบื้องต้นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโดยทั่วไปธุรกิจจะมีต้นทุนหลัก ๆ 2 แบบคือ
- ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือ ต้นทุนที่ไม่ว่าจะผลิตมากหรือน้อย ก็ยังต้องจ่ายเท่าเดิม เช่น ค่าจ้างพนักงานประจำหน้าสาขา, ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน, ค่าเช่าหน้าร้านสาขาต่าง ๆ ต้นทุนพวกนี้ ไม่ว่าธุรกิจเราจะขายดีหรือไม่ดี ยังต้องจ่ายเท่าเดิม
- ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือต้นทุนที่ผันแปรไป ตามจำนวนการผลิตที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ค่าต้นทุนสินค้า
ยิ่งขายมากก็ยิ่งต้องผลิตหรือสั่งผลิตมากตาม, ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ที่เมื่อขายสินค้าได้มากขึ้น ก็ต้องเสียส่วนแบ่งให้แพลตฟอร์มมากขึ้น
สัมพันธ์กับหลักการตลาดที่เรียกว่า “Economies of Scale” หมายถึงการที่ต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ลดลงเมื่อปริมาณการผลิตหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจากการกระจายต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) ไปสู่หน่วยผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น อธิบายให้เห็นภาพจากตัวอย่างง่ายๆ คือ

สมมติว่าเปิดโรงงานผลิตเสื้อยืด โดยมีต้นทุนดังนี้
ต้นทุนคงที่ : ค่าเช่าโรงงาน 100,000 บาทต่อเดือน, ค่าเครื่องจักร (คิดค่าเสื่อม) 50,000 บาทต่อเดือน
รวม 150,000 บาท
ต้นทุนผันแปร: วัตถุดิบและค่าแรงงาน 100 บาทต่อตัว
กรณีที่ 1: ผลิต 1,000 ตัว
- ต้นทุนคงที่: 150,000 บาท
- ต้นทุนผันแปร: 1,000 ตัว × 100 บาท = 100,000 บาท
- ต้นทุนรวม: 150,000 + 100,000 = 250,000 บาท
- ต้นทุนต่อตัว: 250,000 ÷ 1,000 = 250 บาทต่อตัว

กรณีที่ 2: ผลิต 10,000 ตัว
- ต้นทุนคงที่: 150,000 บาท (เท่าเดิม)
- ต้นทุนผันแปร: 10,000 ตัว × 100 บาท = 1,000,000 บาท
- ต้นทุนรวม: 150,000 + 1,000,000 = 1,150,000 บาท
- ต้นทุนต่อตัว: 1,150,000 ÷ 10,000 = 115 บาทต่อตัว
จะเห็นว่าต้นทุนต่อตัวลดลงจาก 250 บาท เหลือ 115 บาท เมื่อผลิตมากขึ้นถึง 10 เท่า นี่คือพลังของ Economies of Scale! ที่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในอีกหลายด้านเช่น
- ธุรกิจได้กำไรสูงขึ้น เพราะต้นทุนต่อหน่วยลดลง กำไรต่อชิ้นเพิ่มขึ้น
- กำหนดราคาขายแข่งขันในตลาดได้ เพราะสามารถตั้งราคาต่ำเพื่อดึงดูดลูกค้า
- เพิ่มโอกาสในการขยายส่วนแบ่งการตลาด เพราะธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำสามารถครองตลาดได้ง่าย
- เปิดโอกาสในการลงทุนนวัตกรรมใหม่ เพราะมีเงินทุนมากพอเพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่
ธุรกิจที่ใช้ Economies of Scale ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในประเทศไทย มีหลายแบรนด์ชั้นนำที่ประยุกต์ใช้หลักการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและอาหารทะเลที่ต้องการการผลิตจำนวนมากและการกระจายสินค้าทั่วประเทศ
1. Thai Beverage (ThaiBev)

บริษัทใช้ Economies of Scale โดยการขยายโรงงานผลิตและแบ่งปันทรัพยากรระหว่างบริษัทในเครือ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ช่วยให้ margins (กำไรขั้นต้น) เพิ่มขึ้น สามารถต้นทุนต่อหน่วยลดลงประมาณ 5-10% จากการกระจายต้นทุนคงที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สินค้าของ Thai Beverage มีศักยภาพแข่งขันในตลาดได้สูง บริษัทมีรายได้รวมกว่า 200,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
2. Thai Union Group

เป็นผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทใช้ Economies of Scale โดยผสมผสานธุรกิจ branded (ขายปลายทาง) กับ OEM (ผลิตให้แบรนด์อื่น) ทำให้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่และกระจายความเสี่ยง ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง 15-20% จากการซื้อวัตถุดิบจำนวนมากและการใช้เทคโนโลยีแปรรูปอัตโนมัติ ทำให้ margins มั่นคงกว่า คู่แข่งที่ทำธุรกิจแค่ด้านเดียว ช่วยให้บริษัทครองตลาดอาหารทะเลแช่แข็งในยุโรปและเอเชีย โดยมีรายได้รวมกว่า 140,000 ล้านบาทต่อปี
3. CP Group

เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเกษตรและอาหาร บริษัทใช้ Economies of Scale จาก vertical integration ควบคุมตั้งแต่ฟาร์มจนถึงร้านค้า ทำให้ลดต้นทุนทั้งห่วงโซ่อุปทาน และโรงงานขนาดใหญ่ที่กระจาย fixed costs เช่น ค่าเครื่องจักร ทำให้ราคาสินค้า CP ถูกกว่าคู่แข่ง 10-15% ในขณะที่กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15-20% มีผลสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ CP ขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยใช้ scale เพื่อเจรจาสัญญากับซัพพลายเออร์ขนาดใหญ่ ส่งผลให้รายได้รวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี และเติบโตยั่งยืนแม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดีในทางตรงกันข้ามหากธุรกิจบริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพมากพอจาก Economies of Scale อาจกลายเป็น Diseconomies of Scale คือสถานการณ์ที่ต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ของการผลิตหรือการให้บริการ เพิ่มขึ้น เมื่อธุรกิจขยายขนาดการดำเนินงานเกินจุดที่เหมาะสม แทนที่จะประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) กลับเกิดความไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น ปรากฏการณ์นี้มักเกิดเมื่อองค์กรใหญ่เกินไปจนจัดการได้ยาก และนำมาซึ่งยอดขายที่ลดลงได้เช่นกัน
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




