6 วิธีเริ่มต้นธุรกิจ จากเด็กอายุ 13 ที่กลายเป็นเจ้าของธุรกิจได้

ถ้ามีคนถามว่าตอนเราอายุ 13 ทำอะไรอยู่ ก็คงต้องนั่งนึกสักพักและตอบไปว่าเดินเล่นบ้าง เรียนหนังสือบ้าง หรือว่าเล่นเกมส์ แต่เชื่อได้เลยเช่นกันว่าคงไม่มีใครบอกว่าตอนฉันอายุ 13 ฉันกำลังนั่ง ทำธุรกิจของตัวเอง

ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกเพราะพื้นฐานครอบครัวคนไทยกับครอบครัวต่างชาตินั้นมีวิธีการส่งเสริมลูกหลานตัวเองแตกต่างกันในขณะที่เราประคบประหงมกันจนโตแต่เด็กฝรั่งส่วนใหญ่พ่อแม่จะผลักดันให้ไปลองผิดลองถูกและใช้ชีวิตด้วยตัวเองมากกว่า

ข้อดีส่วนนี้คือทำให้นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่เราเห็นและรู้จักจึงเป็นฝรั่งมังค่ามากกว่าคนไทย เราก็คงต้องยอมรับในจุดนี้เหมือนกับเรื่องที่ www.ThaiSMEsCenter.com นำเสนอในตอนนี้เป็นเรื่องของ Hart Main เด็กที่อายุเพียง13 จากรัฐโอไฮโอ เขาสามารถกลายเป็นเจ้าของบริษัท Man Cans ที่ผลิตเทียนหอมสำหรับผู้ชาย เรื่องราวของเขามีจุดเริ่มที่ง่ายๆแต่ปลายทางของเขายิ่งใหญ่เกินตัวมาก

จุดเริ่มธุรกิจมาจากคำถามง่ายๆแต่ได้ผล

gg2

ภาพจาก goo.gl/ApKK7G

ถ้ามองถึงเด็กวัยเดียวกันนั้น ฮาร์ทถือได้ว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจเกินตัว แต่เชื่อหรือไม่ว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นความคิดแบบวูบเดียวที่เข้ามาและก็เป็นเรื่องที่ได้ผลด้วย คือในตอนนี้น้องสาวของฮาร์ทกำลังทำเทียนหอมไปขายที่โรงเรียน ฮาร์ท

ในขณะนั้นจึงตั้งคำถามแบบง่ายๆว่า “Why sell scented candles that smelled so sweet. The vanilla flower has no idea to do some scented candles for men” หรือ “ทำไมเทียนหอมที่ขายถึงมีแต่กลิ่นหวานๆอย่างวานิลลา กลิ่นดอกไม้ มีใครคิดจะทำเทียนหอมสำหรับผู้ชายบ้างไหม?” แต่ทว่าเพียงคำถามแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจนี้เริ่มต้นเพราะพ่อและแม่เขาฮาร์ทมาได้ยินไอเดียนนี้และก็ส่งเสริมให้เขาทำธุรกิจนี้ทันที

และด้วยแรงบันดาลใจในขณะนั้นที่เขาต้องการซื้อจักรยานวิบากราคาคันละ 1,200 ดอลลาร์ในที่สุดขอก็ยอมทุบกระปุกนำเงิน 100 ดอลลาร์มาลงทุนรวมกับที่หยิบยืมจากพ่อแม่อีก 200 ดอลลาร์ เป็น 300 ดอลลาร์ในการเริ่มต้นธุรกิจอย่างเป็นขั้นเป็นตอนดังต่อไปนี้

gg4

ภาพจาก goo.gl/WIsd9o

1.กำหนดรูปแบบของสินค้าต้องแตกต่างจากที่มีอยู่

จากโจทย์ที่ถามเองว่าทำไมเทียนหอมถึงมีแต่กลิ่นหวานๆทำไมไม่มีของผู้ชาย กลายมาเป็นโจทย์ตั้งต้นที่ดีโดยฮาร์ทวางแผนไว้ว่ากลิ่นเทียนของเขาต้องแตกต่างจากที่มีและเจาะกลุ่มผู้ชายเป็นหลัก

2.กำหนดรูปแบบแพคเกจจิ้งที่ไม่ยุ่งยาก

เมื่อมีโจทย์ผลิตภัณฑ์ก็ต้องหาแพคเกจจิ้งโดยเริ่มแรกฮาร์ทตั้งใจเลยว่าภาชนะที่บรรจุต้องไม่ใช่แก้ว ไม่ใช่เซรามิก หรือวัสดุที่เหมือนคนอื่นในตลาดแต่ต้องเป็นอะไรที่แตกต่างและสามารถรีไซเคิลรวมถึงต้องหาง่ายสุดท้ายเขาก็มองเห็นกระป๋องซุปในครัวจึงเป็นบรรจุภัณฑ์ของเขาในการเริ่มต้นธุรกิจ

gg3

ภาพจาก goo.gl/0rCUi2

3.หาเอกลักษณ์ให้กับสินค้าแบบสุดโต่ง

ถ้าจะทำสินค้าเหมือนที่ในตลาดมีก็คงขายได้ยาก ดังนั้นเมื่อฮาร์ทมีทั้งโจทย์สินค้ามีทั้งแพคเกจตามที่คิดไว้ เขาเริ่มซื้อวัตถุดิบเช่นแว็กซ์ และเคมีต่างๆจากเหล่าซัพพลายเออร์ และเริ่มทำเทียนหอมในครัว

โดยเขาแบ่งกลิ่นเทียนเป็น 3 หมวดหมู่คือ กลิ่นอาหาร กลิ่นธรรมชาติ และกลิ่นที่ทำให้นึกถึงอดีต สินค้าของเขาจึงหลากหลายทั้งกลิ่นพิซซ่า กลิ่นกาแฟ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้าเพิ่งถูกตัด กลิ่นกองไฟ กลิ่นถุงมือหนัง และกลิ่นไปป์ เป็นต้น

4.รู้จักการหาช่องทางการตลาดที่หลากหลายและเปิดตลาดด้วยราคาไม่แพง

ฮาร์ทขายเทียนหอมให้เพื่อนๆ คนรู้จัก และเปิดเว็บไซต์ www.man-cans.com จำหน่ายทางออนไลน์ นอกจากนั้น ยังนำเทียนไปเสนอขายตามร้าน ฮาร์ทโชคดีที่ร้านค้าส่วนใหญ่รับเทียนเขาไว้ขาย อาจด้วยเป็นของแปลก และราคาไม่แพง แค่กระป๋องละ 5 ดอลลาร์ฯเท่านั้น

gg1

ภาพจาก goo.gl/p2NH9O

5.เมื่อธุรกิจมีโอกาสขยายต้องรีบไขว่คว้าไว้ทันที

ระยะเวลาไม่ถึงปีจากยอดขาย 300 กระป๋องต่อสัปดาห์ แต่หลังจากที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเสนอเรื่องราวของเขา อีกทั้งสำนักข่าวเอพีนำไปเผยแพร่ ทำให้ฮาร์ทเป็นที่รู้จัก ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากไม่กี่ร้อย เป็นครึ่งหมื่นชิ้นในชั่วข้ามคืน เมื่อออร์เดอร์เพิ่ม ฮาร์ทจึงขยับขยายสถานที่ผลิตจากในครัวที่บ้าน เป็นการเช่าพื้นที่โกดังและจ้างคน 5 คนมาช่วยผลิต

และใช้วิธีบริจาคซุปกระป๋องให้โรงทานเพื่อคนจรจัดหลายโรงทานใน 4 รัฐ ได้แก่ โอไฮโอ เพนซิลเวเนีย มิชิแกน และเวสต์เวอร์จิเนีย หลังจากนั้นก็ทยอยเก็บกระป๋องเปล่าจากโรงทานเหล่านั้นมาใช้ เรียกได้ว่ากระป๋องใส่เทียน Man Can ทุกกระป๋องมาจากการบริจาคซุปให้ผู้ยากไร้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจไป

6.เมื่อธุรกิจเริ่มมั่นคงต้องวางระบบที่ดีขึ้นด้วย

ธุรกิจที่เติบใหญ่ขึ้นทำให้ Man Can ต้องเปลี่ยนวิธีการ คือหันไปจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทบีเวอร์ ครีก แคนเดิ้ล โค ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้พิการเป็นผู้ผลิตเทียนให้ และยกเลิกการบริจาคซุปแล้วใช้กระป๋องที่ผลิตขึ้นมาใหม่เพื่อการนี้ ถึงตอนนี้ เทียนหอม Man Can ก็วางจำหน่ายใน 150 ร้านค้าทั่วประเทศ

ในราคาชิ้นละ 10 ดอลลาร์ฯ โดยทุก 1 กระป๋องที่ขายได้จะถูกหัก 75 เซนต์บริจาคให้โรงทานเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน ที่ผ่านมา Man Can บริจาคซุปไปแล้วกว่า 1 แสนกระป๋อง และให้เงินช่วยเหลือราว 35,000 ดอลลาร์ฯ

Candles For Men ของ Hart Main ในปัจจุบัน

gg6

ภาพจาก goo.gl/p2NH9O

ในปีที่ผ่านมาMan Cans จำหน่ายเทียนประมาณ 260,000 กระป๋อง ที่น่าสนใจคือสัดส่วนลูกค้าระหว่างชายกับหญิงคือครึ่งต่อครึ่ง โดยกลิ่นที่ได้รับความนิยมที่สุด คือ กลิ่นหญ้าเพิ่งถูกตัด กลิ่นกองไฟ กลิ่นที่ขายดี คือกลิ่นเบคอน กลิ่นรูทเบียร์ กลิ่นดิน และกลิ่นบาร์บีคิว จากที่ขายทางออนไลน์ และกระจายตามร้านค้า Man Cans ยังเพิ่มช่องทางการขายคือรับผลิตเทียนหอมเพื่อเป็นสินค้าระดมทุน และผลิตให้องค์กรต่างๆ อีกด้วย

และเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียนเขาก็ให้พ่อมาช่วยในการบริหารกิจการต่อซึ่งในอนาคตฮาร์ทก็มีแผนงานที่จะสร้างธุรกิจอื่นอีกมากมาย และนอกจากนี้เขายังมีผลงานหนังสือชื่อ One Candle, One Meal” ถ่ายทอดประสบการณ์การทำธุรกิจ และผลักดันคนอื่นให้ริเริ่มธุรกิจเป็นของตัวเองได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้กรุณาอย่ามองข้ามเรื่องราวใกล้ตัวเพราะบางทีแง่มุมที่เรามองไม่เห็นอาจกลายเป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แต่ในขั้นตอนการทำก็ต้องมีระบบระเบียบวิธีการที่ดี เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจที่ดีที่ประสบความสำเร็จจากความคิดของเราล้วนๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/oJx9w2

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด