23 จิตวิทยาการขายขั้นเทพ ขายแบบไม่ขาย ฉบับใช้จริง

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมพ่อค้าแม่ค้าบางคนขายของได้ แม้สินค้าแทบไม่ต่างจากเจ้าอื่น หรือทำไมเราเองถึงเผลอซื้อของบางอย่าง ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแต่แรก

รู้หรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจาก “จิตวิทยาการขาย” ที่ถูกใช้แบบแนบเนียนและทรงพลัง การขายยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องพูดเก่งหรือมีของถูก แต่คือการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า และรู้วิธีกระตุ้นอารมณ์และความคิด ให้พวกเขา “อยากซื้อ” โดยไม่รู้ตัวว่านี่คือการถูกโน้มน้าวอย่างแยบยล

มาดูกันว่า เทคนิคการใช้ จิตวิทยาการขายขั้นเทพ ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าคุณจะขายหน้าร้าน ขายออนไลน์ หรือแม้แต่ขายในตลาดนัด เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณ “ปิดการขายได้ง่ายขึ้น” โดยไม่ต้องพึ่งโชคหรือคำพูดยืดยาวอีกต่อไป

จิตวิทยาการขายขั้นเทพ
ภาพจาก elements.envato.com

1. เปิดข้อมูลทั้งหมด

ร้านอาหารที่ติดเปิดเผยต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมดแบบละเอียด จนลูกค้ารู้ว่าเงินที่จ่ายไปเป็นค่าอะไรบ้าง สร้างความไว้วางใจได้มากกว่าร้านที่ไม่เผยข้อมูล

2. เทียบสินค้าตัดสินใจง่าย

ธุรกิจที่เปรียบเทียบสินค้าหรือบริการของตัวเองกับคู่แข่ง ว่าแตกต่างดีกว่าคู่แข่งอย่างไร ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วขึ้น

3. พูดข้อเสีย-ข้อดีของตัวเอง

แบรนด์ที่กล้าพูดข้อเสียของตัวเองควบคู่ข้อดี เช่น ร้านเราไม่ได้ขายถูกที่สุด แต่เราใส่ใจคุณภาพทุกขั้นตอน ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้ดีกว่า

จิตวิทยาการขายขั้นเทพ
ภาพจาก elements.envato.com

4. ทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วม

แบรนด์ที่บอกว่าจะนำเงินลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปบริจาค 1% ให้กับมูลนิธิฯ ต่างๆ ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าขึ้นมาทันที เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าได้ซื้อสินค้าแล้วยังได้ร่วมทำบุญด้วย

5. นำเสนอข้อมูลสั้นๆ ชัดเจน

แผนการกินอาหารเพื่อลดน้ำหนักในแอปควรบอกแค่ “กินไข่ 2 ฟอง ผักครึ่งจาน” ดีกว่าอธิบายเรื่องแคลอรี่ โปรตีน และวิตามินยาวเหยียด

6. เล่าเรื่องแทนการอธิบาย

เล่าเรื่องของลูกค้าคนก่อนที่เจอปัญหาเหมือนกัน และใช้สินค้าเราแล้วดีขึ้น ดีกว่าบอกสรรพคุณแบบตรงๆ

7. แชร์รีวิวตัวอย่างลูกค้าใช้จริง

แชร์รีวิวจริง ตัวอย่างลูกค้าเก่า หรือสถิติต่างๆ ที่สะท้อนว่าลูกค้าจำนวนมากใช้แล้ว ดึงดูดให้คนที่ยังไม่ซื้ออยากซื้อ เช่น สินค้านี้ขายไปแล้วกว่า 10,000 ชิ้นทั่วประเทศ

จิตวิทยาการขายขั้นเทพ
ภาพจาก elements.envato.com

8. ใช้หลักขาดแคลน มีจำกัด

จัดโปรโมชันจำกัดเวลา สินค้ามีจำนวนจำกัด แต่ต้องเป็นของจริง ไม่ใช่หลอก ทำให้ลูกค้าเห็นค่ากับสิ่งที่มีจำนวนจำกัด

9. คนอื่นใช้กันหมดแล้ว

ลูกค้าแถวนี้ใช้กันเกือบหมดแล้ว เป็นประโยคกระตุ้นให้คนยังไม่ได้ลองใช้ อยากจะซื้อขึ้นมาทันที

10. การตั้งราคาขาย

เริ่มจากการตั้งราคาสูง แล้วเสนอราคาจริงทีหลัง ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า เช่น จากปกติ 3,990 บาท เหลือเพียง 1,290 บาทเท่านั้น

11. หลักการความชอบ

ลูกค้ามักซื้อของจากคนที่ตัวเองชอบ ถ้าใช้ผู้ขาย หรือพรีเซ็นเตอร์ ที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะดึงดูดได้ง่าย

จิตวิทยาการขายขั้นเทพ
ภาพจาก elements.envato.com

12. ขายตัวคุณก่อนขายของ

ลูกค้าซื้อของจาก “คนที่เขาไว้ใจ” ควรสร้างภาพลักษณ์ ความจริงใจ ความเป็นมืออาชีพ ให้ลูกค้ารู้สึกว่า “เชื่อคุณได้” คุณต้องเชื่อมั่นในการนำเสนอขายด้วย รู้ลึก รู้จริงในสินค้า

13. ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นเจ้าของก่อนซื้อ

ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าเป็นของเขาแล้ว ยากที่จะปฏิเสธ ควรให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งาน ลองสัมผัส พูดแบบว่าลูกค้าได้ใช้แล้ว จะได้ผลแบบนั้นแบบนี้

14. หลักการการมีส่วนร่วม

เริ่มพูดคุยกับลูกค้า ถามปัญหา หรือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ตั้งคำถามง่ายๆ ให้ลูกค้าตอบว่า “ใช่” หรือให้ลองใช้สินค้าฟรีก่อน แล้วถามลูกค้าว่าลองใช้สินค้าแล้วดีขึ้นมั๊ย!

15. การกระตุ้นด้วยอารมณ์

สร้างภาพความรู้สึก เช่น ความสุข ความมั่นใจ หรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด หรือใช้เรื่องราว (Storytelling) เชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ของลูกค้า เช่น แม่บ้านคนหนึ่งเคยเหนื่อยกับการซักผ้า จนได้เจอเครื่องนี้

จิตวิทยาการขายขั้นเทพ
ภาพจาก elements.envato.com

16. การกระตุ้นด้วยภาพ

ถ้าเปิดร้านขายของออนไลน์ ภาพสินค้าคืออาวุธหลัก ต้องชัด สวยงาม ดูดี พร้อมกับติดป้าย “Flash Sale”, Countdown, หรือ “สินค้าหมดเร็วมาก” ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเร็ว

17. ปลุกความกลัวแบบมีศิลปะ

ถ้าเป็นกรณีการขายประกัน ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต สุขภาพ อุบัติเหตุุ ถ้าอยากขายได้ไม่ต้องขู่ แต่ให้เล่าเหตุการณ์จริงให้ลูกค้าคิดตาม เช่น เคสที่ไม่มีประกัน เจ็บแล้วไม่มีเงินรักษา หรือทำให้เขา “เห็นภาพอนาคต” โดยใช้คำถามปลายเปิด เช่น ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่อยู่ ลูกๆ จะอยู่อย่างไร

18. การตั้งราคาหลอก

ถ้าขายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ให้เริ่มต้นด้วยราคาตลาดจริง แล้วเสนอโปรโมชั่น เช่น ส่วนลด 500,000 บาท หรือฟรีเฟอร์นิเจอร์ หรือไม่ก็ฉายภาพอนาคตให้ชัดๆ ไปเลย เช่น ถ้าอยู่ที่นี่ จะได้คุณภาพชีวิตแบบไหน หรือเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัย ทำเล ลูกเรียนใกล้บ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ฯลฯ

19. ดึงดูดสายตาด้วยตัวล่อราคาถูก

นำสินค้าราคาถูกมาวางไว้หน้าร้าน เพื่อดึงดูสายตาให้คนหยุดดูก่อน หรือเรียกอีกอย่างว่า “Hook Product” เช่น เสื้อยืด 39 บาท หรือของใช้ 20 บาท จะไม่เน้นกำไรชิ้นนั้น แต่เพื่อให้คนแวะแล้วเห็นสินค้าหลักอื่นๆ ในทางจิตวิทยาคนชอบคิดว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูอีกหน่อยก็ได้

ภาพจาก elements.envato.com

20. ทำป้ายราคาแบบเชิญชวน

ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คนขายอาจมีคำพูดแบบเร้าอารมณ์ เช่น ลดกระหน่ำ วันนี้วันเดียว ซื้อ 1 แถม 1 หรือไม่ก็เน้นป้ายสีสด เหลือง แดง เขียวที่สะดุดตามากที่สุด จะทำให้คนตัดสินใจซื้อจากความคุ้มค่า มากกว่าความจำเป็น

21. ไม่พูดขายตรงๆ ในทันที

คนขายต้องชวนลูกค้าคุยก่อน เช่น “ลองจับดูได้เลยจ้า ไม่ซื้อไม่ว่า” “ตัวนี้ใส่สบายมาก คนกลับมาซื้อซ้ำเพียบ” หรือ “เอาไปลองก่อนก็ได้ เดี๋ยวลดให้อีก”

22. สร้างความเคลื่อนไหวหน้าร้าน

ถ้ามีคนยืนดูหรือหยิบของ จะดึงดูดคนอื่นมาเอง บางร้านถึงขั้นใช้พนักงานตัวเองหยิบของ วางของ สร้างจังหวะหน้าร้าน “เหมือนมีลูกค้า”

23. แต่งร้านให้ดูดี โดนตา โดนใจ

ใช้สี ธีม และการจัดวางสินค้าให้เข้าใจง่ายใน 3 วินาที เช่น วางสินค้ายอดนิยมไว้ในระดับสายตา สินค้าที่จำเป็นต้องให้ลูกค้าลองจับ ควรเอาออกมาจัดวางให้หยิบง่าย หรือถ้าเป็นเสื้อผ้าควรให้มี “หุ่นโชว์” สวมใส่สินค้าไว้หน้าร้าน จะดึงดูดลูกค้าได้ดี

สรุป การใช้ “จิตวิทยาการขายขั้นเทพ” เพื่อดึงลูกค้าให้ซื้อแบบไม่รู้ตัว ไม่ใช่การหลอกลวง แต่คือการเข้าใจธรรมชาติของการตัดสินใจของลูกค้า แล้วใช้เทคนิคโน้มน้าวอย่างมีศิลปะ ทำให้ลูกค้ารู้สึก “อยากได้” มากกว่า “โดนขาย” หรือลูกค้าซื้อเพราะเชื่อว่า “คุ้มค่า” ไม่ใช่เพราะแค่ราคาถูก ที่สำคัญยังสามารถสร้างประสบการณ์ดีให้ลูกค้า จนอยากกลับมาซ้ำได้อีกด้วย

แหล่งข้อมูล https://bit.ly/4maGxeu

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช