10 วิธีสร้างธุรกิจให้เป็น “Market Leader” แชร์ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด

ภาพรวมธุรกิจในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง + ปัจจัยเสี่ยงๆก็เยอะมาก ในมุมของผู้ประกอบการเองต้องสู้กับวิกฤติต้นทุนที่เพิ่มทั้งค่าแรง + วัตถุดิบ + บริหารจัดการ ส่วนวิกฤติในด้านการตลาดคือกำลังซื้อที่ลดลง พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนรวดเร็ว รวมถึงการมีคู่แข่งเยอะมาก ทำธุรกิจในยุคนี้ให้รอดไม่ใช่แค่มีเงินทุนแต่ต้องมีแนวคิดบริหารจัดการ+ การวางแผนที่ดีร่วมด้วย

และในธุรกิจแต่ละหมวดหมู่ก็มีขาใหญ่เจ้าประจำหรือแบรนด์ดังที่เป็นตัวหลัก ยกตัวอย่างร้านสะดวกซื้อที่มีมูลค่า 5.73 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8.1% ต่อปี เจ้าตลาดคือ 7-Eleven ที่ครองสัดส่วนสูงสุดถึง 72% หรือในกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ก็มีรายงานกว่าผู้ประกอบการรายเล็กมีความเสี่ยงถึง 40% ที่อาจต้องปิดกิจการภายใน 3 ปี

หรือในตลาดอีคอมเมิร์ชนี่ก็ยิ่งดุเดือดมูลค่ารวมกว่า 1.07 ล้านล้านบาท สู้กันอยู่หลายแพลตฟอร์มทั้ง Shopee , Lazada และ TikTok โดยต่างก็มีกลุ่มลูกค้าของตัวเองและมีการส่งเสริมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง

คำถามคือปัญหาที่มากมายทั้งในเรื่องคู่แข่งเยอะและลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น ในฐานะผู้ประกอบการจะใช้วิธีไหนเข้าสู้เพื่อให้อยู่รอดในยุคนี้ได้

1. รู้จักลูกค้าให้ลึกกว่าคู่แข่ง

ควรใช้ Data Analytics / CRM เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อตัวเลข มีผลสำรวจชี้ชัดว่า 76% ของลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อประสบการณ์ที่ดีขึ้น เช่น ถ้าเราเปิดร้านกาแฟที่คู่แข่งเยอะ อาจใช้ LINE OA ส่งโปรเฉพาะคนชอบเมนู “ลาเต้” เพิ่มโอกาสลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ถึง 30%

2. สร้างความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวและคำบอกเล่า (Social Proof)

ปัจจุบันรีวิวของลูกค้าจริง มีน้ำหนักมากกว่าคำโฆษณาใด ๆ หากธุรกิจเรามีรีวิวที่ดีจากลูกค้ากว่า 80% บนแพลตฟอร์มออนไลน์ จะช่วย เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าใหม่ได้ถึง 20-30% ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายแบรนด์ที่เน้นการทำตลาดในรูปแบบนี้

3. การตลาดแบบ Niche Marketing

การโฟกัสเฉพาะเจาะจงแค่กลุ่มลูกค้าจะประหยัดต้นทุนการตลาดและได้ผลมากกว่า มีข้อมูลระบุว่า SME ที่เจาะ Niche Market มีกำไรเฉลี่ยสูงกว่าตลาด Mass 2-3 เท่า เช่น ถ้าเราขายเสื้อผ้าลองเปลี่ยนมาขายเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงที่มีรูปร่างพิเศษ หรือการทำร้านอาหารที่เน้นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก

4. ใช้ Loyalty Program

เพื่อทำให้ลูกค้าอยู่กับเรานานขึ้น โดยมีข้อมูลว่าลูกค้าเก่ามีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำ 60-70% แต่ลูกค้ารายใหม่มีโอกาสมาซื้อซ้ำเพียงแค่ 5-20% เท่านั้น จึงเห็นแบรนด์ดังใช้กลยุทธ์นี้เช่น การใช้บัตรสะสมแต้มของร้านกาแฟต่างๆ

5. พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง

การลงทุน 10% ของกำไรเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ หรือปรับปรุงบริการหลังการขาย สามารถช่วย เพิ่มคะแนนความพึงพอใจลูกค้า (Customer Satisfaction Score) ได้ถึง 15-20% และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของเราไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนที่ร้านชานมไข่มุกหรือเครื่องดื่มแบรนด์ดังหลายแห่งออกเมนูใหม่ๆ อยู่เสมอ

6. กลยุทธ์การตลาดแบบกองโจร (Guerrilla Marketing)

ในเมื่อคู่แข่งเยอะก็ต้องทำให้ลูกค้ารู้จักธุรกิจของเราให้ได้มากที่สุด การเปิดร้านโดยไม่วิ่งเข้าหาลูกค้าเป็นความเสี่ยงในการเพิ่มยอดขายไม่ได้ตามเป้า แม้จะเป็นวิธีที่ดูล้าหลังแต่ การตลาดแบบกองโจร ก็ยังใช้ได้เช่นการแจกใบปลิว การมีทีมเซลล์โทรตรงเข้าหาลูกค้า หรือการโปรโมทธุรกิจผ่านรถประชาสัมพันธ์ไปตามตลาดต่างๆ

7. เน้น Speed & Convenience

คือเร็วและง่าย เพราะบางครั้งสิ่งนี้มีค่าเหนือกว่าคุณภาพและเป็นพฤติกรรมของลูกค้าในยุคนี้ มีตัวเลขน่าสนใจระบุว่า 53% ของคนเลิกซื้อเพราะให้เหตุผลว่า “รอนานเกินไป” หลายแบรนด์จึงเร่งใช้ Speed & Convenience เพื่อเพิ่มลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น GrabMart ใช้กลยุทธ์ “ส่งใน 30 นาที” ที่ทำให้มียอดสั่งเพิ่มขึ้นเยอะมากตามเมืองใหญ่ๆ

8. สร้าง Personalized Offer

หรือประสบการณ์เฉพาะตัวให้กับลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษ มัดใจให้กลายเป็นลูกค้าประจำในระยะยาว โดยธุรกิจที่ทำ Personalization ได้ ยอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10-15% ยกตัวอย่างเช่น Shopee ส่งคูปอง “ลดเพิ่ม 100 บ.” เฉพาะคนที่กดใส่ตะกร้าแล้วไม่จ่าย

9. Monitor คู่แข่ง + ปรับตัวเร็ว

ใช้เครื่องมือเช่น Social Listening / Google Trends ดูว่าคู่แข่งทำอะไร ซึ่งธุรกิจที่ปรับตัวตามเทรนด์ทันภายใน 6 เดือนแรก มีโอกาสโตเร็วกว่าคู่แข่งถึง 2 เท่า ตัวอย่าง เช่น TikTok ร้านอาหารที่เข้าเร็วช่วงปี 2020 กลายเป็นไวรัล ยอดขายโตแบบก้าวกระโดด

10. ทำ Content Marketing ที่เน้นให้ความรู้

เป็นอีกรูปแบบการทำตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้ายุคนี้ได้ดีไม่ใช่แค่การขายของแต่มีคลิปที่สอนให้ลูกค้าได้ความรู้เช่นถ้าเป็นร้านอาหารก็อาจสอนเรื่องการทำเมนูอร่อยบางรายการที่มีในร้าน นอกจากเป็นการโปรโมทเมนูและร้านในตัวเองยังทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจ มีความมั่นใจในร้านค้านี้มากขึ้น โอกาสเพิ่มลูกค้าใหม่ได้

ปัจจุบันคู่แข่งเยอะ ปัญหาก็แยะ การทำธุรกิจเพื่อเอาตัวรอดถ้าสู้กันที่ “ราคา” อย่างเดียวสุดท้ายก็อาจไม่รอด ดังนั้นต้องเน้นที่ความแตกต่าง + ประสบการณ์ + ความเร็ว + ความสัมพันธ์กับลูกค้า จะช่วยเพิ่มยอดขายได้ซึ่งแต่ละธุรกิจก็ต้องใช้หลายกลยุทธ์การตลาดเข้ามาผสมผสานกัน สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดเรียนรู้และปรับตัว เพราะในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้ที่พร้อมปรับตัวเท่านั้นที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด