อวสานห้างไทยในตำนาน คน แบรนด์ สถานที่
ห้างสรรพสินค้าไทยตั้งแต่ยุคแรกจนถึงปัจจุบันไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการจับจ่าย แต่เป็นตัวชี้วัดและสะท้อนถึงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศอย่างชัดเจน การเจริญเติบโตของห้างในแต่ละยุคสมัย ล้วนแต่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับกำลังซื้อของผู้บริโภคและการขยายตัวของสังคมเมือง
เช่น ในช่วงทศวรรษ 2520–2530 ที่ GDP ของไทยเติบโตเฉลี่ย 8–9% ต่อปี การลงทุนของห้างสรรพสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 20% ต่อปี มูลค่าพื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯ สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เกิดห้างระดับไฮเอนด์อย่างเกษรพลาซ่าและสยามเซ็นเตอร์
แต่การแข่งขันในตลาดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มทุนใหญ่และกลุ่มบริษัทค้าปลีกระดับชาติเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด ขณะที่ปัญหาความสามารถในการบริหารจัดการ ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์และค่าเช่าที่สูงขึ้น จึงกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงในการอยู่รอดของห้างสรรพสินค้า ทำให้แต่ละห้างที่พอมีเงินทุนต้องเร่งปรับตัว หากไม่สามารถดึงลูกค้าได้เพียงพอ ธุรกิจจำเป็นต้องปิดกิจการ
ต่อมายุคดิจิทัล และ digital disruption ยิ่งเพิ่มแรงกดดัน ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตเกือบ 20–25% ต่อปีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

โดย Lazada, Shopee และ JD Central ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกกว่าในราคาที่แข่งขันกับร้านในห้าง ทำให้ Demand สำหรับสินค้าบางประเภทในห้างลดลงมากกว่า 30–40% เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าไอที
พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ (Gen Y–Gen Z) ยังเปลี่ยนไปเน้นประสบการณ์และความสะดวกสบายมากกว่าการเดินชมสินค้าในห้างสรรพสินค้า การเข้าถึงคอนเทนต์ออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้การตัดสินใจซื้อไม่จำเป็นต้องไปหน้าร้านอีกต่อไป
สุดท้าย ชะตากรรมของห้างสรรพสินค้าไทย ถูกกำหนดด้วยความสามารถในการปรับตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวท การสร้างจุดเด่นดึงดูดใหม่ หรือการปรับธุรกิจเข้ากับระบบออนไลน์ ห้างที่ปรับตัวทันสามารถอยู่รอดและเติบโต ขณะที่ห้างที่ไม่ปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค ต้องปิดกิจการไปตามกฎธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจ
พัฒนาการของห้างสรรพสินค้าไทย
พัฒนาการของห้างสรรพสินค้าไทยสะท้อนทั้งการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของเมืองไทยตลอดกว่า 200 ปีที่ผ่านมา จากพื้นที่จำหน่ายสินค้าแบบตะวันตกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สู่บทบาทใหม่ในฐานะศูนย์กลางของความบันเทิง ไลฟ์สไตล์ และประสบการณ์ทางสังคม จนกระทั่งเผชิญความท้าทายจากยุคดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซในปัจจุบัน

1. ยุคเริ่มต้นของค้าปลีกสมัยใหม่ (พ.ศ. 2367 เป็นต้นมา)
ต้นกำเนิดของห้างสรรพสินค้าไทยเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวสกอต ก่อตั้งกิจการค้าปลีกแบบตะวันตกบริเวณวัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี ภายใต้แนวคิด “สถานที่รวมสินค้าหลากหลาย” หรือรูปแบบที่ใกล้เคียงกับห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน มีสินค้านำเข้าอย่างผ้าฝรั่งและยาฝรั่ง สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติ แม้ว่าสังคมไทยในขณะนั้นยังคงดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทำให้กิจการด้านการค้าขายยังไม่แพร่หลายมากนัก
ในช่วงปลายรัชกาลที่ 4 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 5 ห้างของชาวตะวันตกเริ่มปรากฏมากขึ้น แต่ยังจำกัดอยู่ในวงแคบ เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าแบบสมัยใหม่ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
2. การเติบโตจากวัฒนธรรมตะวันตกและสังคมเมืองหลังสงครามโลก
วัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทย โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้รูปแบบการบริโภคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความเป็นสังคมคนเมือง
ย่านวังบูรพา คือ จุดเด่นสำคัญในยุคนี้ ทั้งห้างและโรงภาพยนตร์ได้ผสมผสานตัวเองเข้ากับวิถีชีวิตของวัยรุ่น กลายเป็นพื้นที่ที่มีความหมายมากกว่าเพียงสถานที่จับจ่ายสินค้า แต่เป็นพื้นที่ทางสังคมแห่งใหม่ของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น
3. การขยายตัวของย่านการค้าและบทบาททางสังคม–การเมือง (พ.ศ. 2510–2520)
ทศวรรษ 2510–2520 เป็นช่วงที่สังคมเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ย่านราชดำริและราชประสงค์กลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ ห้างไทยไดมารูมีบทบาทต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม และยังเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แสดงให้เห็นว่าห้างเริ่มมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ทางสังคม
ปลายทศวรรษ 2513–2523 ความก้าวหน้าของตลาดค้าปลีกในประเทศเริ่มเห็นชัดเจนมากขึ้น เมื่อมีการเกิดขึ้นของห้างสยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี่ ทำให้ย่านสยามสแควร์เป็น “เมืองแฟชั่นของวัยรุ่น” ขณะที่เกษรพลาซ่าก้าวขึ้นเป็นตัวแทนของห้างระดับไฮเอนด์ที่ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการค้าปลีกแนวตะวันตกในไทย
4. การเติบโตของห้างเฉพาะทางและไลฟ์สไตล์ทางวัฒนธรรม (พ.ศ. 2530–2545)
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคทำให้ห้างสรรพสินค้าเริ่มแตกไลน์ไปสู่ “ห้างเฉพาะทาง” เช่น ไนติ้งเกล โอลิมปิค ในฐานะห้างอุปกรณ์กีฬา และพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ที่มีความโดดเด่นทางด้านเทคโนโลยี ไอที คอมพิวเตอร์
ในเวลาเดียวกัน แนวคิดการช็อปปิ้งแบบ “วัน–สต็อป–ช้อปปิ้ง” เริ่มได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น ทำให้บรรดาห้างต่างๆ เริ่มปรับปรุงตกแต่งห้างใหม่เป็นศูนย์รวมบริการหลากหลายประเภท ทั้งโรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงพื้นที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นสถานที่ในการใช้เวลาเต็มวันสำหรับครอบครัวและวัยรุ่นในเมือง
5. ความท้าทายทางเศรษฐกิจ การแข่งขัน และการปรับตัว
เมื่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้น ห้างหลายแห่งต่างเผชิญปัญหาด้านเงินทุนและการบริหารจัดการ ทำให้บางห้างต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างของธุรกิจ หรือทยอยปิดกิจการ ยกตัวอย่างกรณีการควบรวมของห้างโรบินสันเข้าไปรวมกับห้างเซ็นทรัล
รวมถึงการทยอยปิดตัวของห้างเมอร์รี่คิงส์ การบริหารสาขาขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณสูงทำให้ห้างจำเป็นต้อง “รีโนเวทเพื่อความอยู่รอด” เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าวที่ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ หรือเสรีเซ็นเตอร์ที่รีแบรนด์เป็น Paradise Park
จุดเริ่มต้นนวัตกรรมและการสร้างประสบการณ์ใหม่ของห้างไทย
นอกจากบทบาททางเศรษฐกิจ ห้างสรรพสินค้าไทยยังเป็นพื้นที่ริเริ่มนวัตกรรมที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับสังคมไทยในแต่ละยุคสมัย
1. บันไดเลื่อนแรกของไทย – ไทยไดมารู
การติดตั้งบันไดเลื่อนถือเป็นการเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งครั้งสำคัญในประเทศไทย ดึงดูดผู้คนหลั่งไหลมาทดลองใช้ ความแปลกใหม่นี้ทำให้ห้างกลายเป็นสัญลักษณ์ความทันสมัย และยกระดับมาตรฐานสถาปัตยกรรมสาธารณะในเมืองไทย
2. ลิฟต์แก้วแห่งแรก – โรบินสัน ราชดำริ
ลิฟต์แก้วทำให้การเดินห้างเป็นประสบการณ์ผสมผสานการเคลื่อนที่และการชมวิวภายในอาคาร เพิ่มความหรูหรา และสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการออกแบบพื้นที่เพื่อสร้างประสบการณ์มากกว่าฟังก์ชันการใช้งานเพียงอย่างเดียว

3. ลานสเก็ตน้ำแข็ง – อิมพิเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว
การสร้างลานสเก็ตน้ำแข็งเป็นการนำกิจกรรมนันทนาการจากต่างประเทศเข้ามาสู่สังคมเมืองในไทย วัยรุ่นมีพื้นที่พบปะกันใหม่ๆ และทำให้ห้างเป็นศูนย์รวมกิจกรรมไลฟ์สไตล์มากกว่าสถานที่ซื้อสินค้า
4. เพนกวินในห้าง – พาต้าปิ่นเกล้า
การนำสัตว์ต่างถิ่นอย่างเพนกวินมาแสดงสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่เด็กและครอบครัว และทำให้ห้างพาต้าปิ่นเกล้าเป็นพื้นที่เรียนรู้และสร้างประสบการณ์ในเชิงเรื่องเล่า ซึ่งต่อมาถูกพัฒนาต่อยอดในห้างต่างๆ

5. อควาเรียมกลางห้าง – สยามพารากอน
การเปิด Siam Ocean World ถือเป็นการยกระดับห้างไทยไปสู่ศูนย์กลางท่องเที่ยวระดับนานาชาติ การสร้างอุโมงค์น้ำขนาดใหญ่และพื้นที่จัดแสดงสัตว์ทะเล ทำให้ห้างกลายเป็นแหล่งเรียนรู้และความบันเทิงครบวงจรที่ดึงดูดทั้งคนไทยและต่างชาติ
จากยุครุ่งเรืองสู่การปิดตัวของห้างไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้เห็นห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในไทยทยอยปิดตัวลง ด้วยเหตุผลต่างๆ ตั้งแต่ปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน การระบาดโควิด ไปจนถึงการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น โดยตัวอย่างของห้างเก่าแก่ที่ปิดกิจการมีดังนี้

1.ตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2534 แต่ต้องปิดตัวไม่มีกำหนดหลังได้รับแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวงให้ยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน โดยบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ หากสำเร็จจะกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง
2.โรบินสัน ศรีนครินทร์ ให้บริการมายาวนานถึง 30 ปี ก่อนจะปิดวันสุดท้ายเมื่อ 20 สิงหาคม 2567 หลังจากนี้โรบินสันที่ยังเปิดให้บริการมีเพียง 3 สาขา ได้แก่ สุขุมวิท บางรัก และลาดกระบัง
3.เมอร์รี่คิงส์ (Merry Kings) มีทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ วังบูรพา, สะพานควาย, วงเวียนใหญ่, รังสิต, ปิ่นเกล้า และบางใหญ่ หนึ่งในสาขาที่เป็นที่คุ้นเคยมากที่สุดคือ วงเวียนใหญ่ เนื่องจากตกแต่งด้วยกระจกสวยงาม แต่หลายสาขาต้องปิดตัวลงเพราะการแข่งขันสูง ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจปี 2540
3.นิวเวิลด์ (New World) ห้างย่านบางลำพู มีจุดเด่นคือ ลิฟต์แก้ว ก่อตั้งปี 2526 แต่ปิดตัวอย่างถาวรในปี 2548 หลังเกิดอุบัติเหตุสิ่งก่อสร้างถล่ม มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บหลายราย
4.ไทย ไดมารู (Thai Daimaru) ห้างสัญชาติญี่ปุ่นที่ติดตั้งบันไดเลื่อนเป็นแห่งแรกในไทย เปิดบริการตั้งแต่ 10 ธันวาคม 2507 ก่อนปิดเมื่อ 31 ตุลาคม 2543 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก และวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540

5.โตคิว (TOKYU) ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง เปิดบริการตั้งแต่ปี 2528 ปิดตัวถาวรเมื่อ 31 มกราคม 2564 เนื่องจากวิกฤตการเงินและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19
6.กาดสวนแก้ว ศูนย์การค้าชื่อดังของเชียงใหม่ เปิดบริการมาตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์ 2535 แต่ปิดตัวเมื่อ 1 กรกฎาคม 2565 ด้วยปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคระบาด
7.คลังพลาซ่า (Klang Plaza) นครราชสีมา เปิดมายาวนานถึง 36 ปี ตั้งแต่ปี 2529 ก่อนปิดตัวลงไปเมื่อ 4 มิถุนายน 2565 โดยมีปัจจัยสำคัญจากผลกระทบจากการระบาดโควิ-19
8.พรอมเมนาดา เชียงใหม่ ศูนย์การค้ารูปแบบยุโรป-สัญชาติเนเธอร์แลนด์ เปิดปี 2556 ด้วยเงินลงทุน 2,800 ล้านบาท แต่จำนวนผู้ใช้บริการต่ำกว่าคาด หลัง COVID-19 ทำยอดลดเหลือหลักพันต่อวัน ปิดกิจการ 5 พ.ค. 2565 ขณะนี้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 24 แปลง กำลังขายทอดตลาดในราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท
9.เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ เปิดให้บริการครั้งแรกปี 2532 แต่ดำเนินกิจการได้ไม่นานก็ปิดตัวลง จุดเด่นในสมัยนั้นคือ ลานไอซ์สเก็ต ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่น ก่อนที่พื้นที่จะถูกพัฒนาเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ ในปี 2550

10.ห้างโซโก้ (Sogo) กรุงเทพฯ เป็นห้างสัญชาติญี่ปุ่น เปิดให้บริการปี 2525 ในอดีตถือเป็นห้างหรูที่วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันจะมาเดิน แต่สุดท้ายห้างต้องปิดตัวลง ปัจจุบันพื้นที่กลายเป็น อัมรินทร์พลาซ่า
11.อิเซตัน (Isetan) เปิดครั้งแรกที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่สิ้นสุดสัญญาเช่ากับ CPN ในปี 2563 ล่าสุดช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 ได้ประกาศว่าอิเซตันจะกลับมาในรูปแบบ “มิตซูโคชิ ซูเปอร์มาร์เก็ต-ฟู้ดฮอลล์” ที่ One Bangkok
12.Jusco เข้ามาเปิดสาขาในไทยช่วงปลายปี 2523 มีหลายสาขาในกรุงเทพและปริมณฑล เช่น รัชดาภิเษก, พัฒนาการ, สุขาภิบาล 1, บางบอน และหลักสี่ แต่กิจการในไทยต้องเลิกไปในปี 2541 ด้วยปัญหาเศรษฐกิจ วิกฤตต้มยำกุ้ง และการแข่งขันสูง ปัจจุบันหลายสาขาถูกปรับเป็นแบรนด์อื่นในเครือ เช่น MaxValu
13.ห้างคาเธ่ย์ (Cathay) ย่านเยาวราช กรุงเทพฯ เปิดให้บริการในช่วงปี 2523 ถือเป็นห้างเก่าแก่ของเมืองไทยที่มีทั้งดีพาร์ตเมนต์สโตร์และโรงภาพยนตร์ จุดเด่นคือเป็นแหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงสำคัญในอดีต ปิดตัวลงในราวๆ ปี 2543 หลังวิกฤตเศรษฐกิจ และบริษัทถูกขึ้นสถานะ “ร้าง” อย่างเป็นทางการในปี 2561
14.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ห้างไอทีในตำนานของไทย เปิดให้บริการครั้งแรกปี 2527 โด่งดังในในฐานะศูนย์รวมคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที ซอฟต์แวร์ เกม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร ตอบโจทย์ทั้งคนรักไอทีและเกมเมอร์ ก่อนจะค่อยๆ สูญเสียความนิยมเนื่องจากร้านค้าออนไลน์และห้างทั่วไปสามารถจำหน่ายสินค้าไอทีได้สะดวกขึ้น และสุดท้ายปิดให้บริการในบทบาทห้างไอทีเดิมช่วงปี 2566-2567 พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์ค้าส่งภายใต้ชื่อใหม่ AEC Food Wholesale Pratunam
15.ตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ห้างดังในตำนานของไทย เปิดบริการครั้งแรกปี 2505 เริ่มจากร้านขายเครื่องเย็บปักถักร้อยและอุปกรณ์ฝีมือ ปรับเปลี่ยนมาจากชื่อเดิม “ห่วงเส็ง” ที่เปิดขายถ้วยชาม ก่อนกลายเป็นสาขาบางลำพูที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 62 ปี เปิดบริการวันสุดท้าย 20 พฤศจิกายน 2568
สาเหตุของการนำไปสู่การปิดตัวของห้างในประเทศไทย

1. การแข่งขันจากอีคอมเมิร์ซและแพลตฟอร์มออนไลน์
ในช่วง 10–15 ปีที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ตโฟนที่ครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มอายุ แพลตฟอร์มอย่าง Lazada, Shopee หรือ JD Central ได้เข้ามานำเสนอประสบการณ์ “ช้อปง่าย รวดเร็ว ราคาถูกกว่า” ซึ่งดึงลูกค้าออกจากห้างอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยเสริม เช่น
การจัดส่งฟรี, ส่วนลด, คูปอง และ Flash Sale ซึ่งห้างแบบดั้งเดิมไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเปรียบเทียบราคา ทำให้ร้านค้าเล็กๆ เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศโดยไม่ต้องเช่าพื้นที่ในห้าง สร้างความสะดวกสบายให้ลูกค้าไม่ต้องเดินทางหรือเสียเวลาไปเดินห้าง
ส่งผลให้ยอดขายในร้านค้าประเภทเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าแฟชั่นในห้างลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะห้างที่ยังยึดโมเดลการขายสินค้ามากกว่าการขายประสบการณ์

2. ต้นทุนดำเนินงานสูงและการขยายสาขาที่เกินตัว
ห้างสรรพสินค้าเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ทั้งในการก่อสร้าง การจัดทำระบบภายใน และการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ไม่มีการปรับตัวก็เริ่มอ่อนแรงลง โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น
ค่าเช่าที่ดินในเมืองเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทำให้ห้างที่ตั้งอยู่ในทำเลทองต้องแบกรับภาระต้นทุนสูงตามไปด้วย ประกอบกับค่าแรงและค่าไฟที่เพิ่มสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะห้างเก่าที่ระบบอาคารแบบเก่าไม่ประหยัดพลังงาน
ค่ารีโนเวทหรือปรับปรุงห้างมีมูลค่าสูง ทำให้หลายห้างไม่สามารถปรับตัวทันความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ ประกอบกับการขยายสาขาที่รวดเร็วเกินไปในช่วงเศรษฐกิจดี แต่ไม่มีฐานลูกค้าเพียงพอเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว สุดท้ายทำให้รายได้ไม่สมดุลกับต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้หลายห้างต้องทยอยปิดสาขาเพื่อลดภาระทางการเงิน

3. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
คนรุ่นใหม่ (Gen Y และ Gen Z) มีรูปแบบการใช้ชีวิตต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่าสินค้า พวกเขามองหากิจกรรมเฉพาะตัว เช่น คาเฟ่ที่มีคอนเซปต์ หรือ ร้านดีไซน์เฉพาะทาง รวมถึงสเปซที่สามารถสร้างคอนเทนต์มากกว่าการไปเดินห้างเพื่อดูสินค้าทั่วไป
ไม่ว่าจะเลือกไปเดินคอมมูนิตี้มอลล์และร้านเฉพาะทาง เพราะเล็กกว่า เข้าถึงง่าย ไม่แออัด และมีพื้นที่ไลฟ์สไตล์หลากหลาย เช่น เวิร์กช็อป ร้านสัตว์เลี้ยง ร้านไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม ต้องการความรวดเร็ว ไม่ชอบเดินทางไกล
ประกอบกับห้างยุคเก่ามักมีโครงสร้างขนาดใหญ่ มีหลายชั้น หาร้านที่ต้องการลำบาก ทำให้ไม่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นเท่าที่ควร ก่อให้เกิดเทรนด์ช้อปปิ้งแบบผสม ผู้บริโภคส่วนหนึ่งเลือกดูสินค้าหน้าร้านแล้วไปซื้อออนไลน์ในราคาที่ถูกกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ห้างที่ไม่ได้ปรับสเปซหรือคอนเซปต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคสมัยใหม่ต้องเผชิญปัญหาอย่างรุนแรง

4. การเปลี่ยนรุ่นผู้บริหารและโครงสร้างธุรกิจครอบครัว
ห้างไทยจำนวนมากเป็นกิจการครอบครัวที่เริ่มจากผู้ก่อตั้งในยุคที่การแข่งขันยังไม่สูง เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ขาดการสืบทอดการบริหารธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ๆ ผู้บริหารรุ่นเก่าอาจคุ้นกับวิธีบริหารแบบเดิม
ขณะที่ผู้บริหารรุ่นใหม่อาจไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ไม่มีข้อมูลด้านการตลาดที่ทันสมัย ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ตอบสนองความต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ประกอบกับปัญหาความเห็นที่ไม่ลงรอยกันภายในครอบครัว ส่งผลกระทบต่อทิศทางการลงทุน
บางครั้งไม่สามารถแข่งขันกับเครือใหญ่ที่มีทุนหนาและกำลังทรัพยากรสูงกว่า เช่น กลุ่มเซ็นทรัล เดอะมอลล์ หรือเครือค้าปลีกต่างชาติ จึงไม่น่าแปลกที่กิจการบางแห่งไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมค้าปลีกยุคใหม่

5. ผลกระทบจากโควิด-19
การระบาดโควิด-19 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” ของภาคธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย รัฐบาลได้ออกมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ห้างต่างๆ ต้องปิดให้บริการเป็นเวลานานหลายเดือน ทำให้ขาดรายได้ไปโดยปริยาย
ขณะที่ผู้บริโภคต่างหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด แม้ห้างทำการ Reopened แต่ก็ยังมีปริมาณคนไปเดินห้างลดลงอย่างมาก ประกอบกับผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันไปซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบร้านค้าที่เช่าในห้างหลายรายต้องปิดกิจการ ทำให้ห้างสูญเสียรายได้จากค่าเช่าอย่างรุนแรง
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในด้านสุขอนามัยเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การทำความสะอาด รับพนักงานเพิ่ม การจัดโซนปลอดภัย ในที่สุดห้างที่มีสภาพคล่องต่ำอยู่แล้ว จึงไม่สามารถประคองตัวและจำเป็นต้องปิดกิจการในที่สุด
ห้างในตำนานที่เกือบจะหลับ แต่กลับมาได้
1.เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ / เซ็นทรัลเวิลด์

ในปี 2507 นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นสร้างห้าง “ไทยไดมารู” ซึ่งเป็นห้างสมัยใหม่แห่งแรกของไทย มีบันไดเลื่อนและเครื่องปรับอากาศ ต่อมาที่ดินใกล้กันกลุ่มเซ็นทรัลสร้าง “เซ็นทรัล ราชประสงค์” ก่อนที่ไทยไดมารูจะย้ายไปฝั่งตรงข้าม ปัจจุบันคือ Big C ราชดำริ
ปี 2525 บริษัท วังเพชรบูรณ์สร้างโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในชื่อ “เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์” เปิดห้างในปี 2532 มี ZEN และอิเซตันสาขาแรกของไทย จากนั้นปี 2545 บริษัทประสบปัญหาการเงิน ทำให้เซ็นทรัลเข้ามาพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ ในปี 2550 พร้อมต่อเติมอาคารสำนักงาน โรงแรม และปรับปรุงศูนย์การค้า ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กใจกลางกรุงเทพฯ พื้นที่กว่า 830,000 ตร.ม. และยังเป็นจุดจัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ที่ได้รับความนิยม
2.มาบุญครอง / MBK Center

เปิดบริการปี 2528 โดยครอบครัวศิริชัย บูลกุล เริ่มจากรวมร้านแบรนด์เนมและห้างญี่ปุ่น “โตคิว” ต่อมาในปี 2538 สร้างโรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส และปรับโฉมห้างเป็นพื้นที่เล็กลง เพื่อรองรับร้านขายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งได้รับความนิยมสูง
ปี 2543 เปลี่ยนชื่อเป็น MBK Center ปรับตัวไปโฟกัสนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดึงร้านค้าอุปโภค-บริโภคและของฝากครบวงจร ปัจจุบันยังร่วมมือกับสยามพิวรรธน์พัฒนาย่านสยามให้เป็นย่านค้าปลีกระดับโลก
3.แฟชั่นไอส์แลนด์

เปิดบริการปี 2538 ตั้งใจเป็นศูนย์กลางย่านตะวันออกของกรุงเทพฯ ในช่วงแรกคนยังน้อยเพราะพื้นที่รอบๆ ยังไม่เจริญ แต่เมื่อเมืองขยายและหมู่บ้านเกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์เริ่มคึกคัก
ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทเจ้าของห้าง ที่ดึงร้านค้าชั้นนำและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค ทำให้แฟชั่นไอส์แลนด์กลายเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในย่านรามอินทรา มีร้านค้ากว่า 600 ร้าน และรองรับผู้เข้าชมกว่า 120,000 คนต่อวัน
สิ่งที่เห็นจากเรื่องราวเหล่านี้ คือ แม้ห้างจะเจออุปสรรคหนักหนาสาหัส หากสามารถปรับตัวและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถอยู่รอด และเติบโต เป็นที่นิยมชื่นชอบของผู้บริโภคต่อไป ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกคน
สรุป

ห้างสรรพสินค้าในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย จากยุคเริ่มต้นของห้างขนาดใหญ่ที่เน้นการจำหน่ายสินค้าจำนวนมาก ไปสู่ห้างไลฟ์สไตล์และคอมมูนิตี้มอลล์ที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ครบวงจร ทั้งด้านช้อปปิ้ง ความบันเทิง และการเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว
สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความหลากหลายของสินค้า และประสบการณ์เชิงกิจกรรมมากกว่าการซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว
ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับแนวทาง Hybrid Shopping, การใช้เทคโนโลยีและช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือสนับสนุน, การบริหารต้นทุนและค่าเช่าอย่างรอบคอบ รวมถึงการสร้างความแตกต่างในเชิงประสบการณ์ ที่แพลตฟอร์มออนไลน์ไม่สามารถทดแทนได้
กรณีห้างเก่าแก่หลายแห่งที่ต้องปิดกิจการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า หากผู้ประกอบการไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและไม่ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ธุรกิจค้าปลีกมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียตลาดและการปิดกิจการในที่สุด
แหล่งข้อมูล
- https://citly.me/MNt2S
- https://citly.me/QRAgr
- https://citly.me/ITNqc
- https://citly.me/y0ibL
- https://citly.me/JxSQt
- https://citly.me/bIkQs
- https://citly.me/qfnLC
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




