ร้านอาหาร 13 เหรียญหายไปไหน

“13 เหรียญ” ร้านอาหารสเต๊กสไตล์ตะวันตกที่เคยเป็นหนึ่งในแบรนด์ดังของเมืองไทย กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย และการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารดุเดือดกว่าที่เคย

ด้วยภาพจำของจานสเต๊กขนาดใหญ่ บรรยากาศร้านทึมๆ แบบคาวบอย และการเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง ร้านอาหาร“13 เหรียญ” เคยทำรายได้แตะ 500 ล้านบาทต่อปีในยุคที่รุ่งเรือง

แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน แบรนด์นี้ก็ค่อยๆ เงียบหายไป พร้อมกับจำนวนสาขาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียง 3 แห่งในช่วงที่ธุรกิจประสบปัญหาอย่างหนัก

ในวันนี้ “กิฟท์” พรวฤณ นิติวนะกุล ลูกสาวคนสุดท้องของผู้ก่อตั้งร้าน กำลังนำพา “13 เหรียญ” กลับมาอีกครั้ง ด้วยแนวคิดใหม่ แต่ยังคงรากเหง้าของความทรงจำเดิมเอาไว้ พร้อมภารกิจที่ไม่ง่าย การฟื้นฟูแบรนด์ร้านอาหารในตำนานให้มีตัวตนที่ชัดเจนและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ต้นกำเนิดร้านอาหาร “13 เหรียญ”

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

ร้าน 13 เหรียญเริ่มต้นขึ้นในปี 2519 โดยคุณสมชาย นิติวนะกุล ผู้ก่อตั้งที่นำประสบการณ์จากการทำงานในร้านอาหารที่เมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา กลับมาสร้างร้านสเต๊กแห่งแรกของตัวเองในไทย โดยใช้ชื่อว่า “13 เหรียญ” อิงจากชื่อร้าน “13 Coins” ที่เขาเคยทำงานอยู่

สาขาแรกที่รามคำแหง 29 เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ด้วยเมนูอาหารตะวันตกสไตล์คาวบอยจานใหญ่ บรรยากาศร้านอิฐแดง และผ้าปูโต๊ะลายตารางอันเป็นเอกลักษณ์ ในยุคนั้น การได้ทานสเต๊กถือเป็นความแปลกใหม่และหรูหรา ส่งผลให้ร้านสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มากกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ

จากความสำเร็จสูงสุด สู่การถดถอย

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

แม้จะเคยประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัจจัยหลายประการได้ส่งผลต่อการถดถอยของแบรนด์ โดยเฉพาะการขยายธุรกิจไปยังโรงแรม รีสอร์ต ค่ายมวย และอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ทำให้การดูแลร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เริ่มลดน้อยลง ทั้งในด้านคุณภาพอาหารและภาพลักษณ์ของร้าน

การเปลี่ยนแปลงของตลาด และความนิยมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะร้านอาหารใหม่ ๆ ที่ทันสมัย ทำการตลาดเก่ง และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ “13 เหรียญ” กลายเป็นแบรนด์ที่ดูเก่าและไม่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

จากยอดขายปีละ 500 ล้านบาท กลายเป็นภาระหนี้สินกว่า 500 ล้านบาท ในช่วงปี 2550 หลายสาขาต้องทยอยปิดตัวลง ทรัพย์สินบางส่วนถูกขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ จนเหลือเพียง 3 สาขาหลักที่ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ คือ บางใหญ่, งามวงศ์วาน และสุขุมวิท 49

เปลี่ยนผ่านสู่เจเนอเรชันที่ 2

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

พรวฤณ นิติวนะกุล เติบโตมากับธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว เธอเป็นลูกสาวคนสุดท้องที่แม้จะ “ไม่อิน” กับการทำอาหาร แต่ก็ได้รับอิสระจากบิดาในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง โดยเลือกศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน Business Management จาก University of Westminster ประเทศอังกฤษ และต่อปริญญาโทด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ก่อนจะเข้ามาบริหารธุรกิจอย่างเต็มตัว เธอเริ่มต้นจากการดูแลส่วนของโรงแรม ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัว และยังไม่มีบทบาทชัดเจนในฝั่งร้านอาหาร แต่การจากไปของคุณสมชายในปี 2563 จากโรคมะเร็ง ทำให้เธอจำเป็นต้องกลับเข้ามารับไม้ต่ออย่างเต็มตัว

จุดเปลี่ยน ความคิดถึงแบรนด์คือแรงผลักดัน

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

หลังจากคุณพ่อเสียชีวิต ข่าวการจากไปของเจ้าของร้าน “13 เหรียญ” ถูกแชร์ออกไปพร้อมกับกระแสความคิดถึงอย่างล้นหลาม ลูกค้ารุ่นเก่าหลายคนโพสต์ความทรงจำที่มีต่อร้านอาหารแห่งนี้ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะไม่ปล่อยให้แบรนด์จางหายไป

แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านร้านอาหาร และไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร แต่เธอมีพนักงานเก่าแก่จำนวนมากที่อยู่กับร้านมายาวนานตั้งแต่เธอยังเด็ก เป็นทีมที่แข็งแกร่งและเข้าใจรสชาติ “13 เหรียญ” อย่างแท้จริง

ฟื้นฟูแบรนด์ ขนาดที่เล็กลง มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

การรีแบรนด์ครั้งใหญ่เริ่มต้นจากการปิดสาขาพระราม 9 ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 14 ไร่ และย้ายมาเปิดร้านเล็กๆ แห่งใหม่ที่สุขุมวิท 49 ภายใต้แนวคิด “เล็กแต่ควบคุมได้” พื้นที่ร้านขนาด 2 คูหา จำนวนโต๊ะเพียง 60 ที่นั่ง บริหารจัดการง่าย และสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า

เธอยอมรับว่ายุคของร้านอาหารขนาดใหญ่บนพื้นที่หลายไร่ได้หมดลงแล้ว เพราะต้นทุนสูง และยากต่อการดึงคนเข้าร้าน สิ่งสำคัญในวันนี้คือการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า และปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง

ร้านใหม่มีการปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยขึ้น แต่ยังคงกลิ่นอายความทรงจำเดิม เช่น ภาพคุณพ่อ ภาพร้านในอดีต และข้อความ “คิดถึง 13 เหรียญ” ถูกนำมาใช้ตกแต่งอย่างมีนัยยะ

นอกจากนี้ ยังลดจำนวนเมนูจาก 300 รายการ เหลือเพียง 50 เมนูยอดนิยม เพื่อควบคุมคุณภาพ และบริหารสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดอาหารที่ยังคงเสิร์ฟตามสูตรดั้งเดิม ได้แก่

  • ไก่อลาสก้า สะโพกไก่หมัก ชุบแป้งทอด เสิร์ฟพร้อมชีสและสปาเกตตีซอสไก่
  • หอยลายอบเนยกระเทียม เสิร์ฟพร้อมขนมปังกระเทียม กลิ่นหอมรสเข้ม
  • ไก่มาเรงโก้ เมนูพิเศษที่ประกอบด้วยไก่ทอด กุ้งทอด เบคอน ไข่ดาว และซอสบาร์บีคิว
  • ผักโขมอบชีส หนึ่งในเมนูที่ยังคงรสชาติเดิมตั้งแต่เปิดร้าน
  • ตอร์ติญ่า ชิพส์กับซอสซัลซ่า สูตรซัลซ่าโฮมเมด รสชาติเข้มข้นถูกใจคนไทย

นอกจากนี้ ยังมีเมนูใหม่ที่คิดขึ้นสำหรับร้านสาขาสุขุมวิท 49 โดยเฉพาะ ได้แก่ ข้าวผัดกะเพราไก่อลาสก้า ซึ่งผสมผสานระหว่างอาหารไทยและเมนูซิกเนเจอร์ของร้านได้อย่างลงตัว

พ่อครัวของร้านในปัจจุบันหลายคนยังคงเป็นทีมดั้งเดิมที่ร่วมงานกับคุณสมชายมาตั้งแต่ยุคแรก นับเป็นการสืบทอดทั้งฝีมือและจิตวิญญาณของร้านมาอย่างต่อเนื่องยอิงจากข้อมูลจริงจากระบบ POS ว่าลูกค้านิยมอะไร

ความทรงจำแทนความอร่อยที่สุด

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

พรวฤณยอมรับว่า ร้าน 13 เหรียญ อาจไม่ใช่ร้านที่อร่อยที่สุดในสายตาลูกค้าปัจจุบัน แต่จุดแข็งของแบรนด์นี้คือ “ความทรงจำ” ที่หลายคนมีร่วมกัน ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง การฉลองวันสำคัญ หรืออาหารจานโปรดในวัยเด็ก

นั่นคือคุณค่าแท้จริงที่เธอต้องการรักษาไว้ พร้อมกับปรับตัวเพื่อดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่

ความท้าทายจากการฟื้นฟูแบรนด์

ภาพจาก www.facebook.com/13coinsbangkok

แม้ร้านใหม่จะเปิดตัวได้ดี มีลูกค้าแน่นตั้งแต่ช่วงแรก แต่ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เช่น การบริหารคิว อาหารล่าช้า หรือเสียงบ่นจากลูกค้ารุ่นเก่าที่มีความคาดหวังสูง บวกกับโชคร้ายจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่ทำให้ร้านต้องปิดนานถึง 7 เดือน

อย่างไรก็ตาม เธอไม่ย่อท้อ และเรียนรู้จากคำติชมเหล่านั้นเพื่อปรับปรุงต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในแนวคิดที่ว่า อย่าพยายามทำทุกอย่างให้ถูกใจทุกคน จนหลงลืมตัวตนของร้านไปเหมือนในอดีตอีก

สรุป แม้โลกของอาหารจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในทุกวัน แต่ “13 Coins” ยังคงยืนหยัดด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตัว คือ “อาหารแห่งความทรงจำ” ที่ผูกพันกับชีวิตของผู้คนมาอย่างยาวนาน

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช