รวมเทคนิค “Marketing Campaign” ร้านอาหารใช้ได้ผล!

ในยุคที่การแข่งขันทางการค้ารุนแรง การใช้ “โปรโมชัน” กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจแทบทุกประเภท มีเป้าหมายเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้มากที่สุด ยิ่งถ้าไปดูผลสำรวจจะทำให้เห็นว่า “โปรโมชัน” สำคัญแค่ไหน

  • 87% ของผู้บริโภคชาวไทยระบุว่า “โปรโมชัน” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
  • 60% ยอมเปลี่ยนแบรนด์ที่เคยซื้อ หากแบรนด์อื่นมีโปรโมชันน่าสนใจกว่า
  • 50% สร้างการรับรู้แบรนด์เพิ่มขึ้น (Brand Awareness)
  • 30% คือยอดลูกค้าที่เพิ่มขึ้นหลังที่ธุรกิจมีการใช้ Marketing Campaign

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เมื่อมีแคมเปญเข้ามากระตุ้นจะช่วยเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อบิลได้ 10-15% และเพิ่มโอกาส 15–25% ในการดึงลูกค้าใหม่ให้กลับมาซื้อ (Repeat Rate) หลังจากจบแคมเปญ

อย่างไรก็ดีการใช้ Marketing Campaign ก็ไม่ต่างจากดาบสองคมถ้าเลือกใช้ไม่ถูกต้องแทนจะได้ผลดีอาจกลายเป็นผลเสีย เช่นลูกค้าไม่ซื้อสินค้าในช่วงเวลาปกติจะรอซื้อแค่ตอนจัดแคมเปญ หรือแคมเปญที่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคก็ไม่อาจเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้เช่นกัน

โดยเฉพาะกับร้านอาหารที่แต่เดิมก็มี “ต้นทุน” ที่สูงจากค่าวัตถุดิบ + บริหารจัดการ ถ้าจะทำแคมเปญเพิ่มด้วยก็ต้องคิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนว่าจะกระตุ้นยอดขายได้จริงไม่ใช่ไปเพิ่มภาระให้ตัวเอง แทนที่จะได้กำไรเพิ่มอาจกลายเป็นต้นทุนที่เพิ่มโดยไม่จำเป็น หรือควรเลือกแคมเปญที่เหมาะสมซึ่งมีหลายแบบเช่น

  • แคมเปญสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness Campaign) เน้นไปที่การสร้างการรับรู้และรู้จักแบรนด์มากขึ้น
  • แคมเปญสะสมคะแนน (Loyalty Program) สำหรับเน้นกระตุ้นยอดขายในทันที
  • แคมเปญส่งเสริมการขาย (Promotion Campaign) เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจของลูกค้าในช่วงเวลานั้นได้ทันที
  • แคมเปญเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (Product Launch Campaign) การสร้างโอกาสเพิ่มการขายได้ในระยะยาว
  • แคมเปญสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Campaign) เน้นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเพื่อรักษาฐานลูกค้าให้เหนียวแน่น

ในแวดวงธุรกิจปัจจุบันนี้ก็จะมีการเลือกใช้แคมเปญเหล่านี้แตกต่างกันไปยกตัวอย่างที่เห็นภาพง่ายสุดคือการที่โลตัส เปิดแคมเปญ HAPPY MALL STAMP สะสมแสตมป์ล่าไอเท็ม “ความสุขจากทุกใบเสร็จ สะสมง่าย แลกได้จริง ไม่ต้องลุ้น” ที่รวมรางวัลตั้งแต่ iPhone 16 Pro Max ยันตั๋วเครื่องบินไป-กลับฮ่องกง

หรือการที่ ลัคกี้ สุกี้ ใช้เวลาแค่ 3 ปี ก็สามารถทำยอดขายได้ถึง 1,000 ล้านบาท ผ่านการใช้ THEMATIC Campaign” รักเธอไม่มีหมด” รวมไปถึงศึกเดือดในแวดวงสุกี้ที่ต่อสู้กันด้วยแคมเปญเด็ดๆ ซึ่งก็มีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดให้กับแบรนด์ได้มากที่สุด

แต่ถ้าจะให้แยกย่อยและเลือกรูปแบบสำหรับการทำ Marketing Campaign ในร้านอาหารก็มีอีกหลายแบบที่นำมาใช้ได้ผลจริง ได้แก่

1.จับคู่อร่อย คุ้มยิ่งกว่า!

การจัดเซตเมนูที่ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า และเพิ่มยอดขายให้ร้านอาหารได้ส่วนใหญ่เป็นการนำเมนูอาหาร 2 เมนู มารวมกันเป็น 1 เซ็ต มีผลทางจิตวิทยา ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่ามากกว่าการสั่งแค่เมนูเดียว

2.เมนูใหม่ ราคาพิเศษ

การจัดโปรโมชัน เมนูใหม่ ราคาพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยากรู้ อยากลอง ซึ่งหากเมนูนั้นอร่อยถูกใจ ก็จะกลายเป็นเมนูที่ลูกค้าจะสั่งต่อไปในครั้งหน้าได้ด้วย

3.แลกซื้อราคาพิเศษ

คือการจูงใจให้ลูกค้าสั่งเมนูอาหารที่เรากำหนดไว้ เพื่อแลกซื้ออีกเมนูในราคาพิเศษ เช่น สั่งข้าวพัดกระเพรา 1 จาน รับสิทธิ์แลกซื้อน้ำอัดลมราคาพิเศษ 15 บาท เป็นต้น

4.ส่วนลดพิเศษตามเทศกาล

การจัดเมนูพิเศษหรือมอบส่วนลดให้เหมาะสมกับแต่ละเทศกาล และอาจเป็นการโฆษณาผ่านโซเชี่ยลได้แบบฟรีไม่ต้องเสียเงินจากโพสต์ของลูกค้าเอง

5.ฉลองเปิดร้านหรือครบรอบเปิดร้าน

กลยุทธ์ครอบรอบเปิดร้านเช่น ครบรอบ 1 ปี , ครบรอบ 2 ปี การใส่โปรโมชันก็ต้องให้สอดคล้องและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พิเศษจริงๆ เช่นอาจมีเมนูพิเศษ หรือจัดกิจกรรมแจกของรางวัลสำหรับลูกค้า เป็นต้น

6.จัดเซตอาหารกลางวัน – อาหารเย็น

เช่นการจัดเซตอาหารกลางวัน เป็นแฮปปี้มีลด์ที่ควรใส่เมนูให้เหมาะสม + เครื่องดื่ม จำหน่ายในราคาพิเศษ สามารถทำได้ทั้งอาหารกลางวัน และอาหารเย็น

7.เมนูพิเศษฉลองวันเกิดลูกค้า

สำหรับร้านอาหารที่มีระบบสมาชิกจะมีข้อมูลลูกค้า ซึ่งการจัดเมนูพิเศษฉลองวันเกิดให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกคือหนึ่งแคมเปญที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้า ผลดีคือการที่ลูกค้าจะนำไปบอกต่ออันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ร้านอาหารมีโอกาสที่คนอื่นจะเข้ามาเป็นลูกค้าประจำได้มากขึ้นด้วย

และถ้าดูในมุมของรายได้ที่มีข้อมูลว่า Marketing Campaign ช่วยให้มีลูกค้าเพิ่ม 30% เพิ่มยอดใช้จ่ายต่อบิลได้ 10-15% นั่นหมายความว่าถ้าแต่เดิมร้านเรามีฐานลูกค้าต่อเดือนที่ 1,000 คน ยอดขาย 300,000 / เดือน หลังจบ Marketing Campaign เราจะมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจาก 1,000 เป็น 1,300 คน มีบิลเฉลี่ยเพิ่มจาก 300 เป็น 350 และมียอดขายใหม่เท่ากับ 1,300 × 350 = 455,000 หรือมียอดขายเพิ่มมาจากเดิม 51%

แต่ตัวเลขนี้คือประมาณการให้เห็นภาพว่ามีผลต่อยอดขาย ซึ่งถ้าจะให้ได้ผลดีจริงร้านอาหารควรเลือกโปรที่ “เพิ่มยอดโดยไม่ตัดกำไรตรง ๆ” ก็คือการไม่ลดราคาสินค้าหรืออาหารโดยตรง (เช่น ลด 30–40%) เพราะวิธีนั้นจะทำให้กำไรต่อจานหายไปทันทีแต่หันมาใช้วิธีที่ กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อเพิ่ม โดยที่กำไรต่อจานยังปลอดภัย

ทั้งนี้เรื่องน่ารู้ก่อนคิดแคมเปญให้กับร้านอาหารมีหลักการสำคัญ 3 ข้อที่ควรรู้คือ

  1. กำหนดเป้าหมาย (Goals) ที่ชัดเจนว่าจัดโปรโมชันเพื่ออะไร เช่น เพื่อเพิ่มลูกค้าใหม่ หรือต้องการดึงลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ
  2. รู้จักสินค้า และบริการของธุรกิจตนเอง (Context) เพื่อจัดทำ Sales Promotion ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้นๆ ได้
  3. วิเคราะห์ เลือกไอเดียทำโปรโมชัน (Make it happen) เพื่อให้การทำโปรโมชันนั้นมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ในสิ่งที่ร้านต้องการได้มากที่สุด หากทำโปรที่ผิดวิธีอาจเป็นการลงทุนที่ได้ไม่คุ้มเสีย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด