พิมพ์เขียวแฟรนไชส์ สร้างธุรกิจใหม่ได้ใน 60 วัน

หากคุณกำลังมองหาแนวทางสร้างธุรกิจที่เป็นระบบ เติบโตได้เร็ว และสามารถขยายสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจ “แฟรนไชส์” คือหนึ่งในโมเดลที่น่าสนใจที่สุด แต่การสร้างแฟรนไชส์ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการวางแผนที่ชัดเจน สร้างกระบวนการที่ทำเป็นระบบ และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกขั้นตอน

และในวันนี้คุณสามารถสร้างธุรกิจแฟรนไชส์ได้ภายใน 60 วัน หากมีแผนที่ชัดเจน นี่คือพิมพ์เขียวทีละขั้นตอน ที่จะพาคุณสร้างระบบธุรกิจไปสู่การเปิดขายแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบ ภายในเวลาเพียง 2 เดือน

สัปดาห์ที่ 1–2 วางรากฐานให้แข็งแรง

พิมพ์เขียวแฟรนไชส์

1. กำหนดรูปแบบธุรกิจให้ชัดเจน

ก่อนที่จะเริ่มขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ เจ้าของกิจการจำเป็นต้องเข้าใจธุรกิจของตนเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อจะได้ถ่ายทอดแนวคิด โมเดล และระบบต่างๆ ให้กับแฟรนไชส์ซีได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา ได้แก่

  • จุดเด่นของธุรกิจคืออะไร
    วิเคราะห์ว่าอะไรคือข้อได้เปรียบของธุรกิจที่ทำให้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการ การให้บริการลูกค้า ราคา หรือการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
  • ธุรกิจของคุณขายอะไร
    แก้ไขปัญหาอะไรให้กับลูกค้า วิเคราะห์ว่าสินค้าหรือบริการของคุณตอบสนองต่อความต้องการหรือแก้ปัญหาอะไรให้กับลูกค้า เช่น ความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว คุณภาพ หรือตอบโจทย์เฉพาะทาง
  • ทำไมลูกค้าจึงควรเลือกคุณ
    ธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นมีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ หรือมีจุดแข็ง ที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากคุณ แทนที่จะเลือกคู่แข่งรายอื่น

2. วิเคราะห์ความพร้อมของธุรกิจ

ก่อนเข้าสู่กระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ เจ้าของกิจการควรประเมินความพร้อมของธุรกิจในทุกมิติ ไม่ใช่เพียงแค่ยอดขายหรือชื่อเสียงเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาในเชิงโครงสร้าง ระบบ และความสามารถในการถ่ายทอดโมเดลธุรกิจให้กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ควรพิจารณา ได้แก่

  • ธุรกิจมีระบบงานที่สามารถถ่ายทอดได้หรือไม่
    เช่น ระบบการให้บริการลูกค้า ขั้นตอนการผลิต การบริหารสต็อก คู่มือการทำงาน ฯลฯ ซึ่งจะต้องสามารถจัดทำเป็นมาตรฐานกลาง เพื่อให้แฟรนไชส์ซีสามารถนำไปใช้ได้ทันที
  • แบรนด์มีความน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่
    ธุรกิจควรมีภาพลักษณ์ที่ดี มีฐานลูกค้า เปิดกิจการมานาน และสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ได้
  • มีทีมงานหรือทรัพยากรพร้อมรองรับขยายธุรกิจหรือไม่
    การขยายกิจการรูปแบบแฟรนไชส์ต้องใช้ทีมสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นทีมฝึกอบรม ทีมตรวจสอบคุณภาพ หรือทีมบริการหลังการขาย

3. สร้างร้านต้นแบบ

การสร้างร้านต้นแบบ คือการกำหนดมาตรฐานของการดำเนินงานในทุกด้าน เพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในสาขาแฟรนไชส์ได้โดยอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนสำคัญในการสร้างต้นแบบธุรกิจ ได้แก่

  • กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน (Standard Operating Procedures – SOPs)
    ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับลูกค้า การจัดเตรียมสินค้า การบริการหลังการขาย หรือกระบวนการอื่นๆ ทุกขั้นตอนในร้าน ซึ่งควรถูกจัดระเบียบไว้อย่างชัดเจน
  • จัดทำคู่มือการดำเนินงาน (Franchise Operations Manual)
    คู่มือการปฏิบัติงานควรครอบคลุมทุกแง่มุมของการดำเนินธุรกิจ เช่น การบริหารร้าน กระบวนการผลิต การจัดการพนักงาน การจัดซื้อสินค้า การควบคุมคุณภาพ และการบริหารบัญชี
  • ทดลองระบบทำงานในร้านต้นแบบ
    ร้านต้นแบบจะเป็นสนามทดสอบว่าระบบที่วางไว้สามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ มีจุดอ่อนหรือข้อผิดพลาดตรงไหน และควรปรับปรุงอย่างไร ก่อนนำไปใช้กับแฟรนไชส์ซี

4. สร้างจุดขายของแฟรนไชส์

หากต้องการดึงดูดให้มีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ ธุรกิจต้องมีจุดขายที่น่าสนใจ หรือข้อเสนอที่โดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับแฟรนไชส์รายอื่นในตลาด

องค์ประกอบของจุดขายที่แข็งแรง ได้แก่

  • งบลงทุนเริ่มต้นที่เหมาะสม
    งบการลงทุนเปิดร้านควรมีความสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับผลตอบแทน (ROI) และระยะเวลาคืนทุน
  • ระบบการสนับสนุนที่ดี
    เช่น การฝึกอบรม การให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง การช่วยทำการตลาด การพัฒนาสินค้าใหม่ๆ หรือระบบสนับสนุนหลังการขาย
  • ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ
    ธุรกิจที่จะทำแฟรนไชส์ควรสามารถทำกำไรได้ในหลายพื้นที่ ไม่จำกัดเฉพาะบางทำเลหรือกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

สัปดาห์ที่ 3–4 การออกแบบระบบแฟรนไชส์

พิมพ์เขียวแฟรนไชส์

เมื่อธุรกิจมีการรากฐานที่แข็งแรงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการออกแบบระบบแฟรนไชส์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถถ่ายทอดโมเดลธุรกิจไปสู่แฟรนไชส์ซีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถรักษามาตรฐานเหมือนกันได้ในทุกสาขา

1. จัดทำเอกสารแฟรนไชส์ (Franchise Documentation)

เจ้าของกิจการที่มีเอกสารที่ครบถ้วนและชัดเจนเป็นหัวใจสำคัญของการขายแฟรนไชส์แบบมืออาชีพ ช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อน และเป็นหลักประกันทั้งทางกฎหมายและทางปฏิบัติของทั้งสองฝ่าย

เอกสารที่ควรจัดเตรียม ได้แก่

  • คู่มือการดำเนินธุรกิจ (Franchise Operations Manual)
    ครอบคลุมขั้นตอนการทำงาน มาตรฐานการบริการ การจัดซื้อ การควบคุมคุณภาพ และแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ
  • หนังสือเสนอขายแฟรนไชส์ (Franchise Disclosure Document – FDD)
    อธิบายรายละเอียดของโครงสร้างการลงทุรธุรกิจแฟรนไชส์ เช่น ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เงื่อนไขสัญญา สิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย ประวัติธุรกิจ และข้อมูลทางการเงิน
  • สัญญาแฟรนไชส์ (Franchise Agreement)
    เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ระบุข้อตกลงระหว่างแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีอย่างชัดเจน รวมถึงเงื่อนไขการยกเลิก การต่อสัญญา และการดูแลหลังการขาย จำเป็นต้องรับคำปรึกษาจากทนายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย

2. วางแผนการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี

หากต้องการให้แฟรนไชส์ซีประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีแผนสนับสนุนที่ชัดเจน ตั้งแต่ก่อนเริ่มเปิดสาขา ไปจนถึงหลังเปิดดำเนินการแล้ว

การสนับสนุนที่ควรมี ได้แก่

  • การอบรมก่อนเปิดร้าน (Pre-opening Training)
    ครอบคลุมความรู้เกี่ยวกับสินค้า การจัดวางสินค้า การให้บริการลูกค้า การจัดการร้าน และการบริหารจัดการธุรกิจเบื้องต้น
  • การอบรมภาคปฏิบัติ (On-the-job Training)
    ให้แฟรนไชส์ซีและทีมงานได้ฝึกทำงานในสถานการณ์จริง หรือร้านสาขาจริง โดยมีทีมงานให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
  • การสนับสนุนด้านการตลาด
    การให้คำปรึกษาด้านแผนการตลาดในพื้นที่ การจัดกิจกรรมเปิดร้าน การส่งเสริมการขาย และการสื่อสารแบรนด์ผ่านส่วนกลาง
  • ระบบติดตามผลและประเมินผลดำเนินงาน
    เพื่อช่วยให้สามารถช่วยเหลือและปรับปรุงประสิทธิภาพของแต่ละสาขาแฟรนไชส์ได้อย่างต่อเนื่อง

3. กำหนดโครงสร้างค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์

การกำหนดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ ควรมีความสมดุลระหว่างผลตอบแทนของแฟรนไชส์ซอร์และความคุ้มค่าของแฟรนไชส์ซี

องค์ประกอบของโครงสร้างค่าธรรมเนียม ได้แก่

  • ค่าแฟรนไชส์แรกเข้า (Initial Franchise Fee)
    ค่าธรรมเนียมในการเข้าร่วมระบบแฟรนไชส์ ซึ่งรวมค่าอบรม การสนับสนุนก่อนเปิดร้าน และสิทธิในการใช้แบรนด์
  • ค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือรายปี (Royalty Fee)
    อาจคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย หรือเป็นรายเดือนคงที่ เช่น 5% เพื่อใช้สนับสนุนระบบและบริการหลังการขาย
  • ค่าการตลาด (Marketing / Advertising Fee)
    คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายรายเดือน เช่น 3% สำหรับใช้ในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมการตลาดที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ในภาพรวม

4. กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกแฟรนไชส์ซี

การมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์ หรือแฟรนไชส์ซี จะช่วยรักษาคุณภาพมาตรฐาน รวมถึงชื่อเสียงของแบรนด์แฟรนไชส์ และลดความเสี่ยงได้ในระยะยาว

เกณฑ์ที่ควรพิจารณา เช่น

  • ความพร้อมด้านเงินลงทุน
  • ประสบการณ์หรือทักษะในการบริหารธุรกิจ
  • ความตั้งใจและความมุ่งมั่นในการทำตามระบบ
  • ความสามารถในการบริหารทีมงาน
  • ทำเลหรือพื้นที่ที่สนใจเปิดร้าน

สัปดาห์ที่ 5–6 เตรียมเปิดขายแฟรนไชส์

พิมพ์เขียวแฟรนไชส์

หลังจากวางระบบแฟรนไชส์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมความพร้อมในการเปิดรับผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ ทั้งในด้านสื่อประชาสัมพันธ์ กลยุทธ์ทางการตลาด ช่องทางการขาย และกระบวนการคัดกรองแฟรนไชส์ซีให้เหมาะสมกับธุรกิจ

1. จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับแฟรนไชส์

การสื่อสารที่ดีคือกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจ และดึงดูดความสนใจจากนักลงทุน เจ้าของแฟรนไชส์จึงจำเป็นต้องจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีข้อมูลครบถ้วนและน่าเชื่อถือ

สื่อที่ควรเตรียม ได้แก่

  • โบรชัวร์ข้อมูลแฟรนไชส์
    นำเสนอภาพรวมของแบรนด์ ข้อมูลธุรกิจ จุดเด่นของระบบแฟรนไชส์ เงื่อนไขการลงทุน และช่องทางติดต่อแฟรนไชส์ซอร์
  • วิดีโอแนะนำแฟรนไชส์
    เป็นสื่อภาพเคลื่อนไหวที่สามารถสร้างความเข้าใจและสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ได้ดีกว่า โดยควรมีเนื้อหาช่วยเล่าเรื่องราวของแบรนด์ ประสบการณ์ของเจ้าของแฟรนไชส์ และความสำเร็จของร้านต้นแบบ
  • เว็บไซต์หรือหน้า Landing Page
    สำหรับนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติม ดาวน์โหลดเอกสาร ลงทะเบียนสำหรับนักลงทุนที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ หรือจองคิวสัมภาษณ์

2. วางกลยุทธ์การทำตลาดแฟรนไชส์

กลยุทธ์การทำตลาดแฟรนไชส์ เป็นกระบวนการนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ และดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าของกิจการควรออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงเป้าหมาย และสามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างกว้างขวาง

แนวทางการทำตลาดที่แนะนำ ได้แก่

  • โฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์
    เช่น Facebook Ads, Google Ads, TikTok หรือ YouTube เน้นเจาะกลุ่มผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจ หรือกลุ่มคนทำงานประจำ
  • การเข้าร่วมงานแสดงแฟรนไชส์
    เป็นการกลยุทธ์ที่สามารถสร้าโอกาสในการพบผู้ลงทุนโดยตรง สร้างความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสในการพูดคุยเชิงลึก
  • สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านพาร์ทเนอร์
    เช่น เว็บไซต์แฟรนไชส์ชั้นนำ กลุ่มผู้ลงทุน SME หรือองค์กรที่สนับสนุนผู้ประกอบการ

3. ออกแบบกระบวนการรับสมัครแฟรนไชส์

การมีขั้นตอนคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่ชัดเจน เป็นระบบ จะช่วยให้คุณได้แฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ลดปัญหาการบริหารจัดการในระยะยาว และทำให้แบรนด์เติบโตได้อย่างมั่นคง

  • ลงทะเบียนแสดงความสนใจ
    ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ หรือช่องทางโซเชียลฯ ของแบรนด์ กรอกแบบฟอร์มเบื้องต้น เช่น ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทร, จังหวัดที่สนใจเปิดแฟรนไชส์, งบประมาณที่มี เพื่อให้ทางแบรนด์ติดต่อกลับเพื่อนัดหมายการพูดคุยเบื้องต้น
  • สัมภาษณ์เบื้องต้น
    ทีมงานแฟรนไชส์จะพูดคุยกับผู้สมัครแฟรนไชส์ เพื่อประเมินว่ามีความเข้าใจในธุรกิจหรือไม่ มีความตั้งใจจริงหรือเพียงแค่สนใจเบื้องต้น มีพื้นฐานทางการเงินและประสบการณ์เบื้องต้นเป็นอย่างไร เพื่อกรองผู้สมัครที่มีความพร้อมและสนใจจริงๆ
  • เข้าร่วมสัมมนาแนะนำแฟรนไชส์
    ผู้สมัครจะได้เข้าร่วมการอบรม สัมมนา ทางแบรนด์นำเสนอเนื้อหาครอบคลุมระบบการบริหารของแฟรนไชส์, ข้อกำหนด เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์, บทบาทหน้าที่ของแฟรนไชส์ซี, ตัวอย่างความสำเร็จของสาขาอื่นๆ วิธีการแบบนี้จะช่วยให้ผู้สมัครมีโอกาสซักถาม และประเมินว่าตนเองเหมาะสมกับโมเดลธุรกิจนี้หรือไม่
  • ยื่นใบสมัครอย่างเป็นทางการ
    หากสนใจจริง ผู้สมัครจะต้องกรอกใบสมัครแฟรนไชส์ พร้อมแนบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่ทำเลที่ต้องการเปิดร้าน, ประวัติส่วนตัวและประสบการณ์ที่ผ่านมา, แผนธุรกิจเบื้องต้น, เอกสารเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์เข้าใจศักยภาพของผู้สมัครมากขึ้น
  • วิเคราะห์คุณสมบัติและอนุมัติ
    ทีมบริหารแฟรนไชส์จะพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครโดยละเอียด เช่น ความเหมาะสมของทำเล, ความพร้อมด้านเงินทุน, ทัศนคติในการทำธุรกิจ, ความสามารถบริหารจัดการ หากผ่านเกณฑ์ก็อนุมัติ และนัดหมายเพื่อลงนามในสัญญาแฟรนไชส์

4. เตรียมพร้อมทีมงานภายใน

เมื่อแฟรนไชส์เริ่มเปิดขาย ทีมงานของคุณต้องพร้อมให้การสนับสนุนในทุกด้าน ทั้งการตอบข้อซักถาม การจัดส่งเอกสาร และการอบรมเบื้องต้น

สิ่งที่ควรเตรียม ได้แก่

  • ทีมที่ดูแลการขายแฟรนไชส์
    ทำหน้าที่ให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจแฟรนไชส์อย่างละเอียด ต้องเข้าใจทั้งภาพรวมของแบรนด์ โครงสร้างแฟรนไชส์ และรายละเอียดด้านการลงทุน สามารถตอบคำถามเชิงลึก เช่น รายได้-ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย, เงื่อนไขสัญญา, ขั้นตอนการเปิดร้าน รวมถึงมีทักษะการเจรจา และสามารถคัดกรองผู้สมัครเบื้องต้นได้
  • ทีมสนับสนุนด้านเอกสารและกฎหมาย
    รับผิดชอบในการจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบสมัครแฟรนไชส์, เอกสารชี้แจงข้อมูลธุรกิจ, ร่างสัญญาแฟรนไชส์, ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร ป้องกันความผิดพลาดหรือข้อพิพาททางกฎหมาย เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น
  • ทีมฝึกอบรมและเปิดร้านใหม่
    ดูแลแฟรนไชส์ซีตั้งแต่วันแรกที่ได้รับอนุมัติ, จัดการอบรมเบื้องต้น ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เช่น ระบบการขาย, การบริหารจัดการร้าน, การสต็อกสินค้า, การให้บริการลูกค้า, ช่วยแฟรนไชส์ซีเตรียมความพร้อมในการเปิดร้าน เช่น วางผังร้าน, คัดเลือกพนักงาน, ซ้อมการเปิดร้านจริง และคอยให้คำแนะนำในช่วง 1-3 เดือนแรกหลังเปิดร้าน เพื่อให้แฟรนไชส์ซีดำเนินกิจการได้อย่างมั่นใจ

สัปดาห์ที่ 7–8 เปิดตัวแฟรนไชส์ และขยายอย่างมั่นคง

เมื่อธุรกิจได้เตรียมระบบแฟรนไชส์อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งกลยุทธ์การตลาด ทีมงาน และกระบวนการคัดกรองแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเปิดตัวแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งวางแนวทางการขยายในระยะยาวอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ

1. เปิดตัวแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ

การเปิดตัวธุรกิจแฟรนไชส์ควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

แนวทางการเปิดตัว ได้แก่

  • แถลงข่าวหรือจัดงานเปิดตัวแฟรนไชส์
    จัดกิจกรรมแถลงข่าว หรือเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อประกาศว่าแบรนด์ธุรกิจเริ่มขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ เช่น งานแถลงข่าว, งาน Open House หรือ Webinar (สัมมนาออนไลน์) เหมาะสำหรับผู้สนใจในต่างจังหวัด และคนที่ไม่สะดวกเดินทางในงานควรมีการแนะนำโมเดลธุรกิจและโอกาสในการลงทุน, พูดคุยกับผู้บริหารหรือผู้ก่อตั้งโดยตรง และเปิดช่วง Q&A เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใส
  • ใช้พลังของโซเชียลมีเดียในการเปิดตัว
    สร้างแคมเปญออนไลน์เพื่อเข้าถึงผู้ที่สนใจแฟรนไชส์ผ่านช่องทางยอดนิยม เช่น Facebook, YouTube, TikTok, Instagram
    แนวทางการนำเสนอ เช่น วิดีโอแนะนำโมเดลแฟรนไชส์ เช่น เปิดร้านยังไง คืนทุนกี่เดือน, แชร์เรื่องราวความสำเร็จของสาขาต้นแบบ, คลิปสั้นเบื้องหลังแบรนด์หรือบทสัมภาษณ์ทีมงาน, โปรโมชั่นเปิดตัว
    เช่น สมัครใน 30 วันแรก ลดค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 50% รวมถึงเน้นเนื้อหาที่ “เข้าใจง่าย” และ “กระตุ้นความสนใจ” เช่น อินโฟกราฟิก หรือคำถามยอดนิยม (FAQ)
  • นำเสนอเรื่องราวของแบรนด์
    การเล่าเรื่องคือ “เครื่องมือทรงพลัง” ที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับผู้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นธุรกิจ, วิสัยทัศน์ของแบรนด์ในระยะยาว, อุปสรรคที่เคยผ่านมาและบทเรียนที่ได้ สามารถนำเสนอผ่านทางบทความในเว็บไซต์, วิดีโอสัมภาษณ์เจ้าของแฟรนไชส์ รวมถึงคอนเทนต์ในเพจหรือ YouTube เช่น “เส้นทางจากร้านเล็กๆ สู่แฟรนไชส์ทั่วประเทศ”

2. ดำเนินการเปิดสาขาแฟรนไชส์แรก

การเปิดแฟรนไชส์สาขาแรก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของระบบแฟรนไชส์ เพราะจะเป็นต้นแบบ ทั้งด้านการบริหารจัดการ การสนับสนุนสาขา และการตลาดสำหรับสาขาในอนาคต หากเริ่มต้นได้ดี ระบบแฟรนไชส์จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ควรให้ความสำคัญในการเปิดสาขาแรก

  • ให้การสนับสนุนแบบใกล้ชิด
    จัดทีมงานของบริษัทลงไปดูแลแฟรนไชส์ซี ตั้งแต่เริ่มเตรียมร้านจนถึงหลังเปิดบริการ ครอบคลุมทั้งการออกแบบและจัดตกแต่งร้าน, การสั่งซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบ, การอบรมทีมงานในสถานที่จริง, การจัดซ้อมเปิดร้าน, การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในช่วงแรก ทีมสนับสนุนควรมีความเชี่ยวชาญ และพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดช่วงเปิดตัว
  • เก็บข้อมูลและประเมินผลอย่างละเอียด
    การเปิดสาขาแรกคือโอกาสทองในการทดสอบระบบแฟรนไชส์ในสถานการณ์จริง ควรเก็บข้อมูลในทุกมิติ เช่น ประสิทธิภาพของคู่มือและระบบการทำงาน, ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหน้างาน, เวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอน เช่น การเซ็ตอัพร้าน, การอบรมพนักงาน, Feedback จากแฟรนไชส์ซีและลูกค้า หลังจากนั้นทางแบรนด์จะนำข้อมูลเหล่านี้มาประเมิน และปรับปรุงคู่มือ, ระบบสนับสนุน และกระบวนการแฟรนไชส์ให้ดีขึ้น
  • ใช้ความสำเร็จของสาขาแรกเป็นกรณีศึกษา
    หากสาขาแรกประสบความสำเร็จ ควรนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการตลาดและการขายแฟรนไชส์ ควรมีรูปแบบการนำเสนอ เช่น บทสัมภาษณ์แฟรนไชส์ซีคนแรก, วิดีโอรีวิวจากลูกค้า, รายงานผลประกอบการเบื้องต้น, คำแนะนำจากผู้ที่ผ่านประสบการณ์จริง เพื่อใช้กรณีศึกษานี้สื่อสารกับผู้สมัครแฟรนไชส์รุ่นถัดไป เพื่อสร้างความมั่นใจว่าแฟรนไชส์นี้ทำได้จริง

3. วางระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน

การมีระบบติดตามและประเมินผลที่ดี จะช่วยให้แบรนด์สามารถควบคุมคุณภาพของแต่ละสาขาแฟรนไชส์ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันปัญหา แต่ยังเพื่อพัฒนาให้แฟรนไชส์ซีเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

  • ระบบตรวจสอบมาตรฐาน (Audit System)
    จัดทำแบบฟอร์มตรวจสอบที่ครอบคลุม เช่น ความสะอาดของร้าน, การจัดแสดงสินค้า, การให้บริการลูกค้า, การแต่งกายและบุคลิกท่าทีของพนักงาน, การใช้สื่อการตลาดตามแบบแบรนด์ รวมถึงการกำหนดความถี่ในการตรวจ เช่น รายเดือน หรือรายไตรมาส ตลอดจนสามารถใช้ทีมภายใน หรือจ้างบุคคลภายนอกเพื่อความเป็นกลาง
  • ระบบรายงานผล (Reporting System)
    จัดระบบรายงานที่ง่ายและเป็นระบบ เช่น รายงานยอดขายรายวัน/รายเดือน, รายงานต้นทุนและกำไรขั้นต้น, รายงานสต็อกและการสั่งซื้อ, ฟีดแบ็คจากลูกค้า (ผ่านแบบสอบถามหรือรีวิวออนไลน์) สามารถใช้ระบบออนไลน์ หรือ Google Forms/Sheets ในระยะแรก และสร้าง Dashboard สรุปผลเพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมได้ชัดเจน
  • ช่องทางให้คำปรึกษาและสนับสนุนแฟรนไชส์ซี
    จัดตั้งช่องทางสื่อสารระหว่างแบรนด์กับแฟรนไชส์ซีอย่างเป็นทางการ เช่น Call Center หรือเบอร์สายด่วนเฉพาะแฟรนไชส์, Chat Support ผ่าน Line หรือระบบแชทของบริษัท, ระบบนัดหมายที่ปรึกษา เช่น นัดคุยออนไลน์รายเดือน อาจมี “กลุ่มไลน์” หรือ “แพลตฟอร์มภายใน” สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร หรืออัปเดตโปรโมชั่น

4. วางแผนการขยายแฟรนไชส์อย่างยั่งยืน

หลังจากเปิดตัวระบบแฟรนไชส์และเริ่มมีแฟรนไชส์ซีหลายสาขาแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ การขยายแฟรนไชส์ที่มี “คุณภาพ” มากกว่าแค่ “ปริมาณ” ถ้าขยายเร็วเกินไป อาจเกิดปัญหาในการควบคุมคุณภาพหรือดูแลแฟรนไชส์ซีได้ไม่ทั่วถึง

  • กำหนดเป้าหมายการขยายสาขาเป็นขั้นตอน
    เริ่มจากพื้นที่ที่สามารถดูแลได้ง่าย เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ วางแผนขยายแบบ “ระยะสั้น-ระยะกลาง-ระยะยาว” โดยพิจารณาจากทีมงานสนับสนุน, ต้นทุนการขนส่งและโลจิสติกส์, ความต้องการของตลาดในแต่ละพื้นที่
  • เปิดรับแฟรนไชส์ซีคุณภาพมากกว่าปริมาณ
    ให้ยึดหลักการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีแบบเข้มข้น เช่น มีความเข้าใจในธุรกิจ, มีทุนและเวลาที่พร้อม, มีทัศนคติแบบเจ้าของกิจการ ไม่ใช่เพียงผู้ลงทุน ที่สำคัญแบรนด์ควรสื่อสารชัดเจนว่า “ไม่เน้นขายแฟรนไชส์เร็ว แต่เน้นคัดเลือกคนที่ใช่” หลังจากผ่านการพิจารณาเป็นแฟรนไชส์ซีแล้ว ต้องมีระบบติดตามประเมินผล และให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง

สรุปก็คือ หากคุณมีธุรกิจที่มีโอกาสและระบบอยู่แล้ว การสร้างแฟรนไชส์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว พิมพ์เขียวแฟรนไชส์ นี้ช่วยให้คุณมีเส้นทางชัดเจน ภายใน 60 วัน จากเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของแฟรนไชส์ที่พร้อมขยายสาขาได้ทั่วประเทศธุรกิจที่เติบโตเป็นแฟรนไชส์ได้ ไม่ใช่แค่สินค้าขายดีอย่างเดียว แต่ต้อง “ทำซ้ำได้” และ “สอนคนอื่นทำได้”

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช