ทฤษฏี “Jar of Life” ฝ่าวิกฤติยุค ค่าครองชีพแพง! คนไม่มีเงินใช้

รายได้ต่อหัวของคนไทยในปี 2568 คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนๆ ลงมาอยู่ที่ 269,577 บาท/คน/ปี แต่ภาพรวมภาระหนี้คนไทยกลับสวนทางมากขึ้น หนี้รวมคนไทยอยู่ประมาณ 16.2 ล้านล้านบาทเกือบจะเทียบเท่าจีดีพีของประเทศในปี 2567 ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้บ้าน 37.9% รองลงมา คือ หนี้ส่วนบุคคล 19.4% และหนี้รถ 17.4% ยังมีตัวเลขที่น่าตกใจเกี่ยวกับวิกฤติยุคนี้อีกเช่น

  • 32.5% รายได้คนไทยอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 60,000 บาท
  • 30.9% รายได้คนไทยอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 30,000 บาท
  • 97.9% มีภาระหนี้สินติดตัว
  • 52.1% ใช้จ่ายในครอบครัวเท่าที่หาได้

และยิ่งคนที่ทำงานมานานหลายปี สภาพตอนนี้คือเหมือนทำไปใช้ไป ลำพังแค่รายจ่ายก็มากพอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินเก็บ ตัวเลขที่น่าตกใจอีกอย่างคือ 30% ของคนไทยไม่มีเงินเก็บ และ 60% มีเงินเก็บจากการทำงานไม่ถึง 200,000 บาท

สมมุติว่าถ้าเราเลิกทำงานก็ควรมีเงินใช้มากพอ โดยคำนวณง่ายๆ โดยนำ ค่าใช้จ่ายต่อเดือน X 12 เดือน X จำนวนปี ที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ เช่น หากประเมินว่าหลังเกษียณจะใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่จนอายุ 90 ปี จำนวนเงินที่ต้องมี ณ วันเกษียณ = 20,000 บาท x 12 เดือน x 30 ปี = 7.2 ล้านบาท

เมื่อเห็นตัวเลขแบบนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าวิกฤติค่าครองชีพแพง ค่าแรงถูก แบบนี้การหาเงินล้านที่มาจากการทำงานอย่างเดียวน่าจะไม่พอ ต้องมีรายได้เสริมควบคู่กับการวางแผนการเงินที่มีประสิทธิภาพ

หนึ่งในทฤษฏีที่นำมาใช้ได้คือ “Jar of Life” หรือทฤษฏีกระปุกทรายโดยเลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นก่อนและค่อยๆ แบ่งเงินเก็บในสิ่งที่สำคัญรองลงมา เป้าหมายของ ทฤษฏี “Jar of Life” ก็เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงิน แต่ก็จำเป็นต้องใช้วินัยในการเก็บออมอย่างเคร่งครัด

อธิบายง่ายๆ คือให้แบ่งสัดส่วนการออมเงิน จัดการอย่างเหมาะสม เช่น ทุกรายรับเข้ามา มีการแบ่งเงินออม 20% โดยเงินออม 20% นั้น แบ่งไปอยู่ในเป้าหมายหลักก่อน แล้วแบ่งไปในบัญชีต่าง ๆ เช่นถ้าเรามีเงินเดือนเข้ามา 50,000 บาท เราแบ่งเงินออม 20% อีก 80% ไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดย 20% หรือ 10,000 บาท อาจแบ่งเป็น

  • เกษียณอายุ 30% เป็นเงิน 3,000 บาท
  • การศึกษา 30% เป็นเงิน 3,000 บาท
  • เงินสำรองยามฉุกเฉิน 20% เป็นเงิน 2,000 บาท
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ 15% เป็นเงิน 1,500
  • สำหรับพักผ่อนท่องเที่ยวออมเที่ยว 5% เป็นเงิน 500

เป็นกรณีตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพของ Jar of Life ได้มากขึ้น นับเฉพาะเงินเกษียณ 1 ปีจะมีเงิน 36,000 บาท ถ้าทำงาน 30 ปี จะมีเงิน 1.08 ล้านบาท นั่นยังไม่รวมกับเงินอื่นๆ ที่เราเก็บไว้ หรือในกรณีที่เรามีรายได้มากขึ้น ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนการเก็บออมได้มากขึ้นด้วย

อีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจคือการกำหนดแบบขั้นบันไดว่าแต่ละช่วงอายุเราควรมีเงินเก็บเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเช็คสถานะการเงินของเราและคำนวณความมั่นคงชีวิตในระยะยาวได้ แต่ลำพังแค่การเก็บออมเงินอย่างเดียวไปถึงเป้าหมายไม่ได้จำเป็นต้องใช้วิธีการออมในรูปแบบอื่นที่อาจให้ผลตอบแทนได้มากขึ้น เช่นกองทุนรวม เป็นต้น

การออมด้วยการลงทุน มีหลักสำคัญคือต้องทำอย่างมีวินัยเคร่งครัดและยิ่งทำเร็วยิ่งได้เปรียบ เช่นถ้าเก็บเงินเดือนละ 10,000 บาท จะใช้เวลา 1,200 เดือน หรือ 100 ปี ถึงจะมีเงิน 12,000,000 บาท แต่ถ้าลงทุนเดือนละ 10,000 บาท แล้วได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี เราจะมีเงิน 12,000,000 บาท ภายใน 331 เดือน หรือประมาณ 28 ปี

ในยุคที่เราอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน จะรอความช่วยเหลือจากใครก็คงจะยากเต็มที่ การเป็นที่พึ่งแห่งตนเองจึงสำคัญ แม้ทุกวันนี้เราจะเผชิญค่าใช้จ่ายหนักๆ รอบด้าน จนอาจจะไม่มีเงินเหลือให้ทำอะไร แต่ถ้าเราลองปรับวิธีคิดและนำเอาแผนการเงินมาใช้ จะได้มีหลักประกันในอนาคตว่าอยากน้อยก็ยังมีเงินสำรองให้ใช้ไม่ต้องลำบากมากในบั้นปลายของชีวิต

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด