เหลือเชื่อ! คนไทยซื้อแฟรนไชส์ แต่เจ๊งใน 2 ปีแรก
หลายคนเห็นคนอื่นซื้อแฟรนไชส์แบรนด์นั้น แบรนด์นี้ เปิดร้านแล้วขายดี เลยซื้อตาม สุดท้ายไปไม่รอด ขาดทุน ปิดกิจการ
นี่คือเรื่องจริงที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์รายย่อยจำนวนไม่น้อย ที่มีความฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ผ่านการซื้อแฟรนไชส์ แต่สุดท้ายไปไม่ถึงฝั่ง จบลงด้วยการขาดทุน และกลายเป็นหนี้ในเวลาไม่ถึง 2 ปี
ในยุคที่แฟรนไชส์ถูกมองว่าเป็น “ทางลัด” ในการทำธุรกิจ ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ได้แบรนด์ที่มีชื่อเสียง สามารถลดความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจได้ แต่กลับมีคนจำนวนมากที่ “เจ๊ง” ไม่เป็นท่าในช่วงปีแรกหรือปีที่สองของการดำเนินธุรกิจ
เกิดอะไรขึ้นกับโมเดลที่หลายๆ คน คิดว่าเป็ฯ “ทางลัด” และ “มีโอกาสรอด” มากกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก ตัวเลข สาเหตุ และวิธีเอาตัวรอด ก่อนตัดสินใจลงทุนในระบบแฟรนไชส์
แฟรนไชส์ โอกาสหรือกับดักสำหรับนักลงทุนมือใหม่
ธุรกิจแฟรนไชส์คือระบบที่ให้สิทธิ์ผู้ลงทุนเปิดร้านภายใต้แบรนด์ที่มีอยู่แล้ว โดยมีความหวังว่าจะลดความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ เช่น การสร้างแบรนด์ ระบบการบริหาร การทำการตลาด และการขยายฐานลูกค้า
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกแฟรนไชส์ เช่น แบรนด์มีชื่อเสียงและลูกค้าประจำ, เจ้าของแฟรนไชส์มีระบบบริหารจัดการช่วยเหลือ ช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์
แต่ความจริงคือ แฟรนไชส์ก็มีโอกาสล้มเหลวไม่ต่างจากธุรกิจอื่น หากขาดความเข้าใจในโมเดลและบริหารจัดการไม่เป็น ตัวเลขที่น่าตกใจ เจ๊งใน 2 ปีแรกมากกว่า 60%
ข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน ชี้ตรงกันว่า กว่า 60% ของผู้ซื้อแฟรนไชส์รายย่อยในไทย ล้มเหลวภายใน 2 ปีแรก ธุรกิจที่ดูเหมือน “ขายดี” บนโซเชียล อาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะตัวเลขรายได้ที่เห็นนั้น ไม่ได้นับรวมต้นทุนแฝง ค่าธรรมเนียมรายปี หรือค่าใช้จ่ายจากระบบของแฟรนไชส์ ซึ่งหลายคนมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง
สาเหตุหลักของความล้มเหลว
1.ขาดความรู้และประสบการณ์
หลายคนมองว่าแฟรนไชส์คือ “สูตรสำเร็จ” เพียงแค่จ่ายเงิน ก็จะได้ร้านพร้อมระบบทันที แต่ลืมไปว่าการทำธุรกิจคือการบริหารจริงในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่แค่การขายอาหารหรือเครื่องดื่มตามคู่มือ
2.ตัดสินใจตามกระแส
บางคนซื้อแฟรนไชส์เพราะเห็นคนอื่นทำแล้วดูขายดี เช่น ร้านชาไข่มุกในทำเลเดียวกัน 3 เจ้า โดยไม่มีการวิเคราะห์ตลาดและกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ของตัวเอง
3.ต้นทุนสูง แต่รายได้ไม่พอ
หลายแบรนด์มีค่าแฟรนไชส์ ค่าก่อสร้าง ค่าตกแต่ง ค่าพนักงาน และค่าเช่าพื้นที่ รวมแล้วอาจสูงถึงหลักแสนหรือหลักล้าน แต่ยอดขายต่อวันกลับไม่ถึงจุดคุ้มทุน
4.ระบบแฟรนไชส์ไม่สนับสนุน
บางแบรนด์เน้นขยายจำนวนมากกว่าคุณภาพ ไม่ได้มีระบบช่วยเหลือที่แท้จริง เช่น การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง การตลาด หรือการสนับสนุนหลังเปิดร้าน
ตัวอย่างแบรนด์แฟรนไชส์ต่างประเทศ ที่เข้าไทยแล้ว…ไม่รอด
แม้แต่แบรนด์แฟรนไชส์ระดับโลก แต่ก็ไม่สามารถการันตีความสำเร็จในตลาดเมืองไทยได้ เช่น
- Popeyes สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2538 ปิดกิจการ 2540 (ขาดทุนจากวิกฤตต้มยำกุ้ง)
- โรตีบอย (Rotiboy) สัญชาติมาเลเซีย เข้าไทย 2548 สาขาแรก สยามสแควร์-สีลม ปิดกิจการ 2550 (การแข่งขันสูง คู่แข่งทำเลียนแบบได้ง่าย)
- The Coffee Bean & Tea Leaf สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2556 สาขาแรก สยามเซ็นเตอร์ ปิดกิจการ 2563 (ขาดทุน)
- เอแอนด์ดับบลิว (A&W) สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2526 สาขาแรก เซ็นทรัลลาดพร้าว ปิดกิจการ 2565 (ขาดทุน)
- Family Mart สัญชาติญี่ปุ่น เข้าไทย 2535 สาขาแรก พระโขนง ปิดกิจการ 2566 (ขาดทุน หมดสัญญา)
- บาสกิ้น ร็อบบิ้นส์ (Baskin Robbins) สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2539 ปิดกิจการ 2566 (ขาดทุน)
- Tim Ho Wan สัญชาติฮ่องกง เข้าไทย 2558 สาขาแรก Terminal 21 อโศก ปิดกิจการ 2567 (ขาดทุน)
- Texas Chicken สัญชาติอเมริกัน เข้าไทย 2558 สาขาแรก เซ็นทรัล เวสต์เกต ปิดกิจการ 2567 (ขาดทุน)
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์แฟรนไชส์ไอศกรีมและชาชื่อดังจากจีนหลายแบรนด์ ที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ประกาศเซ้งในราคาหลักแสนบาทตามเพจเซ้งร้านหลายราย แสดงให้เห็นว่าไปไม่รอดหรือขาดทุน จากการแข่งขันสูง
ยังไม่นับรวมแฟรนไชส์ชาเขียว ราคาเดียว 25 บาท/แก้ว ที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน คนแห่ซื้อแฟรนไชส์เปิดร้านจำนวนมาก ในตอนนั้นมีแฟรนไชส์ชาเขียวมากกว่า 50 แบรนด์ในไทย แต่พอมาถึงตอนนี้แทบจะหาร้านไม่เจอแล้ว
แนวทางป้องกันไม่ให้ “เจ๊งตาม” แฟรนไชส์ที่ล้มเหลว
แม้แฟรนไชส์จะดูเหมือนทางลัดในการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ ต่อไปนี้คือ 4 แนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คนซื้อแฟรนไชส์มีโอกาสรอดมากขึ้น
1.ศึกษาแฟรนไชส์ให้ลึก ก่อนตัดสินใจซื้อ
ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ควรเชื่อแค่โบรชัวร์หรือโฆษณา ต้องทำการบ้าน ศึกษาหาความรู้ ค้นหาข้อมูลแบรนด์แฟรนไชส์
สิ่งที่ควรตรวจสอบ
- จำนวนสาขาของแบรนด์ ถ้ามีสาขาจำนวนน้อยอาจเป็นแฟรนไชส์ที่ไม่ได้รับความนิยม หรือใช้เงินลงทุนเปิดร้านสูงมาก
- มีสาขาปิดตัวไปแล้วหรือไม่ หากมีสาขาปิด อาจเป็นเพราะทำเลไม่ดี หรือระบบไม่เวิร์ก หรือแฟรนไชส์ซีบริหารไม่เป็น
- มีระบบสนับสนุนหลังบ้านหรือไม่ เช่น การฝึกอบรม การตลาด วัตถุดิบ การบริหารจัดการ ฯลฯ
- ถ้ามีแค่ “ขายสิทธิ” แต่ไม่มีระบบช่วยเหลือ จะมีความเสี่ยงสูง แบรนด์ที่ดีจะมีระบบเทรนนิ่งที่ชัดเจน และมีเอกสาร SOP
ดังนั้น ก่อนซื้อแฟรนไชส์ควรพูดคุยกับแฟรนไชส์ซีที่ทำอยู่จริง ลองไปเยี่ยมสาขาที่เปิดอยู่เพื่อสังเกตการณ์ อย่าตัดสินใจเพราะ “แบรนด์ดัง” แต่ให้ดูว่าระบบหลังบ้านของแบรนด์แข็งแกร่งแค่ไหน มีระบบสนับสนุนอะไรบ้าง
2.วางแผนการเงินอย่างละเอียดรอบคอบ
ธุรกิจทุกประเภทต้องการการวางแผนการเงิน ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เช่นกัน ต้องประเมินงบให้รอบคอบ
โดยมีต้นทุนที่ควรคำนวณ เช่น
- ก่อนเปิดร้าน ค่าแฟรนไชส์, ค่าก่อสร้างร้าน, ค่าวัสดุอุปกรณ์, ค่าประกันสัญญา, ค่าตกแต่ง
- หลังเปิดร้าน ค่าเช่ารายเดือน, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าวัตถุดิบ, ค่าน้ำ-ไฟ, ค่าการตลาด, ค่า Royalty Fee
- เงินสำรอง (เงินหมุนเวียน) อย่างน้อย 6–12 เดือน เพื่อรับมือช่วงที่ยอดขายยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ตั้งเป้ารายได้ขั้นต่ำ คุณควรรู้ว่า ร้านต้องขายได้กี่บาท/วัน/เดือน ถึงจะคุ้มทุนและเริ่มมีกำไร ผู้ซื้อแฟรนไชส์อาจต้องทำ Cash Flow Plan รายเดือน วางแผนเผื่อกรณีแย่ที่สุด เช่น รายได้ลดลง 30%
3.เลือกทำเลจาก “ข้อมูลจริง” ลงสำรวจพื้นที่จริง
ทำเลคือหัวใจของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีหน้าร้าน แม้แบรนด์จะดีแค่ไหน ถ้าทำเลไม่ใช่ ก็มีโอกาสเจ๊งได้
โดยสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ คือ
- สำรวจพฤติกรรมลูกค้า มีคนเดินจริงหรือไม่ ตรงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์หรือไม่
- ศึกษาคู่แข่ง มีเจ้าอื่นหรือแบรนด์เดียวกันขายเหมือนกันในพื้นที่หรือไม่ ถ้ามี ต้องประเมินความได้เปรียบ-เสียเปรียบของแบรนด์
- พิจารณาค่าเช่า ค่าเช่าสูงเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับศักยภาพทำเล
ดังนั้นก่อน คนไทยซื้อแฟรนไชส์ ควรไปยืนดูลูกค้าที่หน้าทำเลเช่าจริงในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึงคุยกับร้านข้างๆ เพื่อดูพฤติกรรมลูกค้า
4.เตรียมตัวเป็น “เจ้าของกิจการ” ไม่ใช่แค่ “ผู้ซื้อระบบ”
การซื้อแฟรนไชส์ ไม่ใช่การจ่ายเงินแล้วรอรับผลกำไร คุณยังต้องบริหารธุรกิจอย่างจริงจังเหมือนธุรกิจทั่วๆ ไป
สิ่งที่เจ้าของต้องพร้อมทำ
- เข้าใจพื้นฐานบัญชี บันทึกรายรับ-รายจ่าย รู้ต้นทุน รู้กำไรจริง
- บริหารพนักงาน คัดเลือกพนักงาน วางกะ จัดการปัญหาคนลาออก ขาดงาน
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้า สต๊อกวัตถุดิบขาด, ลูกค้าคอมเพลน, ระบบ POS ล่ม ฯลฯ
- สื่อสารกับลูกค้าและเจ้าของแฟรนไชส์ ต้องเป็นทั้งนักแก้ปัญหา และนักประสานงาน
ดังนั้นก่อน คนไทยซื้อแฟรนไชส์ ควรสมัครเรียนคอร์สสั้นๆ เรื่องระบบแฟรนไชส์ เช่น บัญชีเบื้องต้น, การบริหารคน อย่าหวังพึ่งพนักงาน 100% ช่วงแรกควรทำงานประจำอยู่ร้านด้วยตัวเอง
สรุปก็คือ ก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ ลองตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน
1.คุณเข้าใจ “ต้นทุนทั้งหมด” แล้วหรือยัง เพราะต้นทุนที่แท้จริง ไม่ได้มีแค่ค่าแฟรนไชส์
หลายคนเข้าใจว่าซื้อแฟรนไชส์แค่จ่าย “ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์” แล้วจบ แต่ความจริงแล้ว ยังมีต้นทุนซ่อนอยู่อีกมาก เช่น
- ค่าแฟรนไชส์ (Franchise Fee): ค่าธรรมเนียมจ่ายให้เจ้าของแบรนด์
- ค่าก่อสร้าง/ตกแต่งร้าน ค่ารีโนเวทตามมาตรฐานแบรนด์
- ค่าอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว เครื่องชงกาแฟ ระบบ POS ฯลฯ
- ค่าวัตถุดิบล็อตแรก
- ค่าการตลาดก่อนเปิดร้าน (Pre-Opening Marketing)
- ค่าเช่าพื้นที่ล่วงหน้า และค่าประกัน
- ค่าจ้างพนักงานเดือนแรกๆ
- ค่าธรรมเนียมรายเดือน / รายปี / ค่า Royalty Fee
- เงินหมุนเวียน (Cash Flow) อย่างน้อย 3-6 เดือน
2.คุณมีแผนสำรอง หากรายได้ไม่ถึงเป้าหมายหรือไม่ เพราะธุรกิจเปิดใหม่ มักไม่ทำกำไรทันที
ที่ผ่านมาพบว่าในช่วง 3-6 เดือนแรก มีหลายแบรนด์แฟรนไชส์มียอดขายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หากคุณไม่มีแผนสำรอง อาจต้องใช้เงินเก็บ หรือกู้ยืมเพิ่ม จนนำไปสู่การขาดทุนสะสมในอนาคต
ตัวอย่างแผนสำรองที่ควรมี เช่น
- มีเงินทุนสำรองอย่างน้อย 6 เดือน สำหรับค่าเช่า-พนักงาน-วัตถุดิบ
- มีช่องทางรายได้เสริม เช่น ธุรกิจอื่น งานประจำ หรือ Passive Income
- มีแผนควบคุมต้นทุน เช่น ปรับเวลาเปิดร้าน หรือลดจำนวนพนักงานชั่วคราว
- มีแผนการตลาดสำรอง ถ้ายอดขายต่ำ เช่น แจกคูปอง เปิดโปร 1 แถม 1
3.คุณพร้อมจะเหนื่อยและทำงานจริงจังแบบเจ้าของกิจการจริงหรือเปล่า
หลายคนเข้าใจผิดว่าแฟรนไชส์จะช่วยให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ รอรับเงินอย่างเดียว ไม่ต้องทำงานเหมือนธุรกิจทั่วไป แต่ความจริงคือ
- คุณต้องบริหารร้านเหมือนเจ้าของกิจการ
- ต้องจัดตารางงานการทำงาน บริหารพนักงาน รับมือจากการคอมเพลนของลูกค้า
- ต้องตรวจสอบคุณภาพสินค้าและบริการ
- ต้องศึกษาเรื่องต้นทุน กำไร ขาดทุน การตลาด
- ต้องพร้อมทำเองทุกอย่าง ในช่วงที่ระบบยังไม่ลงตัว
ตัวอย่างสิ่งที่ต้องเจอ เช่น
- พนักงานลาออกกะทันหัน คุณต้องไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เอง
- วัตถุดิบส่งช้า คุณต้องหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
- ลูกค้าคอมเพลน คุณต้องรับฟังและจัดการด้วยตัวเอง
ดังนั้นก่อน คนไทยซื้อแฟรนไชส์ ลองถามตัวเองให้ชัดก่อนว่า คุณอยากเป็นเจ้าธุรกิจตัวจริง หรือแค่ ลงทุนแล้วรอรับผลกำไร
ถ้าหวังแค่รอรับผลกำไร ไม่ต้องเหนื่อย…ระบบแฟรนไชส์อาจไม่ใช่คำตอบ
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)