เปิดสูตร “Share of Voice” ธุรกิจเราดังแค่ไหนในโลกออนไลน์
ธุรกิจในยุคนี้ต้องเชื่อมโยงกับตลาดออนไลน์เพราะเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากแบรนด์ไหนครองใจลูกค้าในโซเชี่ยลได้ มีโอกาสจะเพิ่มยอดขายได้มหาศาล เราจึงได้เห็นหลายแบรนด์พยายามแชย่งชิงพื้นที่ในตลาดโซเชี่ยลกันอย่างดุเดือด โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจที่คนทำธุรกิจต้องทราบคือ
- มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยประมาณ 59 ล้านคน
- 85% ของประชากร ใช้งานมากเฉลี่ย 3.4 ชั่วโมงต่อวัน และ 97% เข้าผ่านมือถือ
- แยกเป็นประเภทพบว่า ผู้ใช้งาน Facebook: 50.5 ล้านคน , LINE: 47 ล้าน , YouTube: 45.6 ล้าน , TikTok: 32.5 ล้าน
- 38% ของการซื้อออนไลน์ มีจุดเริ่มต้นจากการเข้าชมโซเชียลมีเดีย
- แบรนด์ไทยกว่า 43% ใช้ AI สำหรับการสร้าง content และ chatbot ต่างๆ
อย่างไรก็ดีเกิดคำถามน่าสนใจว่าแบบนี้เราจะรู้ได้ไง ว่าแบรนด์ของเรานั้นดังแค่ไหนในโลกออนไลน์ หรือหลายธุรกิจก็อยากรู้ว่าตอนนี้แบรนด์ได้รับความนิยมมากแค่ไหน ซึ่งเราสามารถใช้ Share of Voice (SOV) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เอาไว้ใช้ดูว่า แบรนด์ของเรามีคนพูดถึงบนโลกออนไลน์เยอะแค่ไหน ถ้าเทียบกับคู่แข่งในตลาด
มีสูตรคำนวณง่าย ๆ คือ (ปริมาณการพูดถึงแบรนด์ของเรา / ปริมาณการพูดถึงของทั้งตลาด) x 100
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดแฟรนไชส์ชานมไข่มุก และมีคนพูดถึงแบรนด์เรา 500 ครั้ง ในขณะที่พูดถึงแฟรนไชส์ชานมไข่มุกอื่นๆ รวมกัน 2,500 ครั้ง หมายความว่า เรามี Share of Voice (SOV) = 500 / 2,500) x 100 = 20%
อย่างไรก็ดีการจะรู้ว่าใครพูดถึงแบรนด์เราบ้างนั้นจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่เรียกว่า Social Listening Tools เช่น Mandala Analytics , BuzzSumo , Google Alerts เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้จะใช้ในการเก็บข้อมูลตามแต่จุดเด่นของแพลตฟอร์ม โดยเมื่อได้ตัวเลขที่คนพูดถึงแบรนด์ในแต่ละช่วงเวลาก็นำมาใช้คำนวณ Share of Voice ได้
ข้อดีของการทราบ Share of Voice ไม่ใช่แค่ดูว่าแบรนด์เรา “ดัง” แค่ไหน แต่ยังเอาไปพัฒนา กลยุทธ์การตลาดและธุรกิจ ได้อีกมาก
- วัดความสามารถในการแข่งขัน ดูว่าแบรนด์ของเรามีเสียงในตลาด มาก/น้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับคู่แข่งช่วยรู้ว่าใคร “เป็นเจ้าตลาด” จริง ๆ
- ปรับกลยุทธ์การตลาดแบบแม่นยำ ถ้า SOV ต่ำ แปลว่าเสียงเราอาจยังไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย หรือถ้า SOV สูงแต่ยอดขายต่ำต้องปรับ “คุณภาพสินค้า” หรือ “กลยุทธ์การขาย”
- วัดผลแคมเปญ จากการทำโฆษณา, จ้าง influencer, จัด event ซึ่งตัวเลขของ SOV ช่วยวัดได้ว่า แคมเปญนั้นสร้างกระแสได้จริงไหม
- เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้รู้ว่าลูกค้าพูดถึงอะไร, ช่องทางไหน, ด้วยอารมณ์แบบไหน (บวก/ลบ) เอาข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาธุรกิจให้ดีตรงกับความต้องการลูกค้าได้
- ปรับปรุงสินค้าและบริการ ถ้าลูกค้ามีความรู้สึกเชิงลบแบรนด์จะได้นำข้อมูล เอามาวิเคราะห์แล้วพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้น หรือถ้าเป็นเสียงตอบรับที่ดีอยู่แล้ว ก็จะได้พัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป
ซึ่งตัวเลขของ Share of Voice (SOV) ที่ดีควรจะต้องมีค่าไม่น้อยกว่า “Share of Market” (SOM) ของแบรนด์ มีงานวิจัยพบว่า สำหรับธุรกิจ B2C ถ้าแบรนด์ไหนมีค่า SOV สูงกว่า SOM ในทุก ๆ 10% จะมีโอกาสได้ SOM เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.6%
การใช้ Share of Voice (SOV) ถือเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจต้องให้ความสนใจ มีหลายแบรนด์ที่นำเครื่องมือนี้มาใช้และก็เป็นแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าของตัวเองสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น
- Café Amazon เคยใช้ Share of Voice (SOV) ดูว่าเสียงของแบรนด์แข่งกับ Starbucks หรือ Inthanin ได้แค่ไหน โดยเฉพาะในตอนที่ปล่อยเมนูใหม่ๆ ออกสู่ตลาด
- Burger King เคยใช้ Share of Voice (SOV) เปรียบเทียบกับ McDonald’s ช่วงเปิดตัวเมนูใหม่ ที่ได้มีการทำแคมเปญผลปรากฏว่าในช่วงนั้นมีคนพูดถึง Burger King เพิ่มขึ้นกว่า 60%
- L’Oréal ใช้ Share of Voice (SOV)ในการติดตามความนิยมของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม skincare วัดเทียบกับคู่แข่งอย่าง Estée Lauder หรือ Maybelline พร้อมดูข้อมูลว่าแบรนด์ถูกพูดถึงในเชิงบวกแค่ไหน
- Lazada & Shopee ใช้ Share of Voice (SOV) วัดผลในช่วงแคมเปญลดราคา 9.9 / 11.11 / 12.12 เพื่อดูว่าลูกค้าพูดถึงใครมากกว่ากัน ใครได้รับความนิยมมากกว่า เพื่อมากำหนดกลยุทธ์การตลาดในครั้งต่อไป
Share of Voice (SOV) จึงเป็นเครื่องมือชี้วัดที่เห็นผลได้ชัดเจนและตัวเลขเหล่านั้นสามารถนำมาพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งๆขึ้นได้ ก็ต้องเป็นการใช้ควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดอีกหลายด้าน รวมถึงการควบคุมเรื่องคุณภาพ + บริการ ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การทำธุรกิจแบบเดิมไม่เพียงพอต่อความอยู่รอด ธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้จักการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสานบวกกับประสบการณ์ที่แต่ละแบรนด์มี คือโอกาสก้าวสู่ความสำเร็จได้มากขึ้น
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)