เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร” ธุรกิจ

ใน 1 ปี มี 365 วันหรือ 8,760 ชั่วโมงเท่าๆกัน แต่เคยรู้สึกไหมว่าทำไมปีนี้เร็ว? ทำไมปีนี้ช้า? อย่างปี 2568 หลายคนบอกว่าเร็วมาก เหมือนจะเพิ่งฉลองปีใหม่มาไม่นาน เผลอแป๊บๆ ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่อีกแล้ว

ถ้าอธิบายเรื่องนี้ในเชิงจิตวิทยา มีทฤษฏีหนึ่งที่เรียกว่า “เวลาเชิงสัดส่วน” (Proportional Theory of Time)

คือยิ่งคนเรามีอายุมากขึ้น 1 ปีจะมีสัดส่วนเล็กลงเมื่อเทียบกับอายุรวมเช่น

  • ตอนอายุ 10 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วน 10% ของชีวิต
  • ตอนอายุ 40 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วนชีวิตแค่ 2.5%

สัดส่วนที่ยิ่งน้อยลงความรู้สึกมันก็ยิ่งผ่านไปไว และในสมองของเรามักเก็บความทรงจำจาก สิ่งใหม่ ๆ ได้ดีกว่า แต่เมื่อชีวิตเริ่มมี ความซ้ำซาก เวลาก็เหมือนผ่านไปเร็วขึ้นได้ รวมถึงเรื่องของความเครียดโดยเฉพาะในยุคที่เร่งรีบ การมุ่งเน้นทำแต่เรื่องงาน เรื่องหาเงิน เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้สมองรับรู้เวลาว่าผ่านไปไว

ความเร็วของเวลาในแง่ของเศรษฐกิจ และสังคม

ถ้าวิเคราะห์ในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ การที่โลกมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงการมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความรู้สึกว่าปี 2568 นี้มันเดินไปไวมาก ถ้าลองไล่เรียงจากต้นปีเอาแค่ในเมืองไทยก็มีเหตุการณ์หนักๆ เกิดขึ้นเยอะได้แก่

  • เหตุการณ์แผ่นดิวไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ทำให้ตึก สตง.ถล่ม
  • เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฏาคม และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
  • เหตุการณ์น้ำท่วมหนักภาคเหนือรวมถึงดินถล่มมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

ไม่นับรวมพวกคดีที่เกี่ยวกับวงการพระสงฆ์ที่มีข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดคือเหตุการณ์ถนนยุบขนาดใหญ่หน้าโรงพยาบาลวชิระพยาบาล เป็นต้น

มีนักวิชาการเคยพูดถึงเรื่องความเร็วของเวลาไว้อย่างน่าสนใจว่า มนุษย์ต้องใช้เวลาถึง 1,200 ปีเพื่อเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเกษตรกรรม และลดเหลือ 120 ปีเพื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม และใช้เวลาเพียง 60 ปีเข้าสู่ยุคสู่ยุคสารสนเทศ จากนั้นย่อเหลือไม่ถึง 30 ปีจนกลายเป็นยุคดิจิทัลเช่นในทุกวันนี้

เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร”
ภาพจาก https://elements.envato.com

การถือกำเนิดของสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนสิ่งเดิมก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในทางกลับกันก็เป็นช่วงเวลาที่มีการล้มหายตายจากของธุรกิจเดิม เช่น Kodak ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านการถ่ายภาพและเป็นผู้บุกเบิกกล้องดิจิทัลก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือ Nokia ที่เคยดังมากๆ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับบรรดาสมาร์ทโฟนค่ายต่างๆ

การนำเทรนด์ความเร็วของเวลาไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ

ถ้าเราเอาเรื่อง “เทรนด์ความเร็วของเวลา” มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในมุมหนึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้เร็วและทำให้มียอดขายที่ดีมากขึ้น ซึ่งธุรกิจเองก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของยุคสมัยใหม่ให้ได้ก่อน

เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร”
ภาพจาก https://elements.envato.com
  1. วงจรสินค้า–บริการสั้นลง ผู้บริโภคเบื่อง่าย ต้องการสิ่งใหม่เร็ว แบรนด์ที่ออกสินค้าใหม่ช้า อาจเสียลูกค้าให้คู่แข่งทันที และปัจจุบันวงจรสินค้า (Product Life Cycle) สั้นลงมากจากเดิม 3–5 ปี เหลือไม่ถึง 1 ปี เช่น โทรศัพท์, Gadget, แพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้บริโภคจึงรู้สึกว่า “เวลาเดินไว” เพราะต้องตามเทรนด์ใหม่ตลอด
  2. ผู้บริโภคเร่งการใช้จ่ายเร็วขึ้น ค่าครองชีพไทยปี 2568 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 6–8% ต่อปี คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการ “หาเงิน-ประหยัด” ทำให้ชีวิตวนลูป และวัน/เดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจเองก็แข่งกับเวลา ต้องรีบเปิดตัวสินค้าใหม่, รีบทำแคมเปญ คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วมาก
  3. ยุคสังคมข้อมูลเร็ว (Information Overload) ปัจจุบันคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3–5 ชั่วโมง/วัน มีข่าว/เทรนด์อัพเดตทุกวินาที ทำให้สมองรับข้อมูลเยอะ แต่เก็บความทรงจำได้น้อย เมื่อย้อนมองกลับไป เหมือนว่า “ปีนี้ไม่มีอะไรจำได้ชัด” เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปเร็ว
  4. วัฒนธรรม “เร่งด่วน” ของผู้บริโภค การเติบโตของอีคอมเมิร์ช และบริการเดลิเวอรี่ อยากได้อะไรสั่งได้ทันที ทำให้ความอดทนของผู้บริโภคลดลง เมื่อการรอคอยที่ทำให้เวลาเหมือนเดินช้าหายไปก็เป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกว่าทุกวันนี้เวลามันเดินเร็วขึ้น

ธุรกิจควร “ปรับตัว” ให้เข้ากับ “เทรนด์ความเร็วของเวลา” อย่างไร

เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร”

ธุรกิจมองในระยะยาวการ “ปรับตัว” แบบ Real-time Marketing จึงสำคัญกับการทำธุรกิจในยุคเวลาเดินเร็วเช่น ธุรกิจแฟชั่น–อาหาร ต้องอัพเดตเมนู/สินค้าเร็วขึ้นอย่างน้อย ทุก 1–2 เดือน หรือมีบริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับให้เร็วที่สุดรวมถึงต้องใช้ Content Marketing ที่เล่นกับความรู้สึกแบบ Fear of Missing Out (FOMO) หรือจะเป็นการใช้ Subscription model คือการหมุนสินค้า/บริการให้ผู้บริโภครู้สึกว่า “มีอะไรใหม่ตลอดเวลา”

ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจไทยในยุคเวลาเดินเร็ว ถ้าปรับเปลี่ยนตัวเองจะเพิ่มยอดขายได้แค่ไหน

เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร”

ยกตัวอย่างร้านอาหาร – คาเฟ่ & ชานมไข่มุก ซึ่งเป็นธุรกิจสุดฮิตที่ไม่ตกเทรนด์แต่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เร็วมาก ถ้าดูข้อมูลในปี 2568 มีคาเฟ่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 2,000 ร้าน/ปี แต่กว่า 40% ต้องปิดตัวในปีแรก เหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีเมนูใหม่หรือบริการใหม่ๆที่จะดึงดูดลูกค้าได้ การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดควรต้องออก Seasonal Menu ทุก 1–2 เดือน เช่น ชาไข่มุกสีพิเศษตามเทศกาล จะเพิ่มยอดขาย 20–30% ช่วงเปิดตัว

หรืออีกธุรกิจที่โดนผลกระทบในเรื่อง “เทรนด์ของเวลา” อย่างชัดเจนคือ “ร้านเสื้อผ้าและแฟชั่น” ยิ่งกระแสโซเชี่ยลมาแรง ผู้บริโภคไทยติดเทรนด์ TikTok & Instagram อย่างรวดเร็ว บางครั้งเสื้อผ้าเก่าเพียง 2–3 เดือนก็ขายไม่ออก มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่าร้านที่อัพเดตสินค้าใหม่ทุก 2 สัปดาห์ มียอดขายสูงกว่าร้านที่ออกคอลเลกชัน 2–3 เดือนครั้ง ถึง 1.7 เท่า และแบรนด์เสื้อผ้าที่ช้ AI ออกแบบเสื้อผ้า และผลิตล็อตเล็ก (Just-in-time) สามารถหมุนคอลเลกชันได้ไวกว่า และสต็อกค้างลดลงเกือบ 50%

ดังนั้นความเร็วของเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนเร็วอาจไม่ใช่ปัญหาแต่มันคือโอกาสที่ธุรกิจต้องปรับตัวตามให้ทัน ถ้ามองว่าปีนี้เวลาผ่านไปเร็ว ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปเวลาก็ยังจะคงเดินเร็วอยู่ เพราะสังคมมีการปรับเปลี่ยนตลอด พฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงธุรกิจไหนที่คิดว่าตัวเองดีและหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีแต่รอวันเจ๊งไม่ว่าเวลาจะเดินช้าหรือเร็วก็ตาม

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด