เทรนด์ไทยยั่งยืน สนับสนุนร้านเล็ก ไม่เน้นเชนร้านเครือข่าย

ในยุคที่ร้านสะดวกซื้อแบรนด์ใหญ่ (Chain Convenience Stores) แผ่ขยายไปทั่วทุกหัวมุมถนน “ความสะดวก”

กลายเป็นปัจจัยหลักในการบริโภค อย่างไรก็ตาม กระแสความยั่งยืนกำลังผลักดันให้เกิดการตั้งคำถามใหม่ว่า การซื้อของที่สะดวกที่สุดนั้น คือการซื้อของที่ “ดีที่สุด” หรือไม่? เทรนด์การหันมาสนับสนุน “ร้านค้าชุมชน” และ “ร้านเล็ก” จึงไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึกดี แต่คือกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคมที่จับต้องได้

ยุคทองของร้านค้าปลีกท้องถิ่นในอดีต

ในช่วงก่อนทศวรรษ 1990 หรือประมาณ พ.ศ. 2523 – 2533 ร้านค้าปลีกท้องถิ่น เช่น ร้านโชห่วยและตลาดสด เป็นช่องทางหลักที่คนไทยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค โดยในปี 2523 ร้านค้าท้องถิ่นครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80-90% ของการค้าปลีกทั้งหมด มีตลาดสดรวมกันทั่วประเทศมากกว่า 10,000 – 15,000 แห่ง

ซึ่งคำนวณจากจำนวนชุมชนและหมู่บ้านในสมัยนั้น ที่มีประมาณ 70,000 หมู่บ้าน ซึ่งเกือบทุกชุมชนจะมีตลาดสดหรือตลาดนัดอย่างน้อย 1 แห่ง นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกท้องถิ่นยังมีจำนวนมากถึง 500,000 แห่ง มีจุดเด่นที่น่าสนใจในยุคนั้นคือ

  1. มีความใกล้ชิดกับชุมชน เพราะส่วนใหญ่ร้านโชห่วยและตลาดสดตั้งอยู่ในระยะที่ลูกค้าทั่วไปเดินถึง สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าของร้านและลูกค้า
  2. สินค้าสดและราคาถูก เนื่องจากตลาดสดส่วนใหญ่จำหน่ายผักผลไม้จากเกษตรกรโดยตรง ถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต 2-4 เท่า และสินค้าในกลุ่มอาหารถูกกว่าในซูเปอร์มาเก็ต
  3. ความยืดหยุ่น ร้านค้าท้องถิ่นสามารถปรับเปลี่ยนสินค้าตามความต้องการของชุมชน เช่น ขายสมุนไพรพื้นบ้านหรืออาหารตามเทศกาล และยังเป็นจุดศูนย์รวมของคนในท้องถิ่นให้มาพูดคุยปรึกษาหารือกันได้
  4. การจ้างงานในชุมชน สอดคล้องกับข้อมูลน่าสนใจที่ระบุว่าผู้หญิงในยุคนั้น เป็นเจ้าของแผงตลาดถึง 60-70% ซึ่งการขายสินค้าก็จำเป็นต้องมีลูกจ้างที่ช่วยทำงาน จึงเท่ากับเป็นการจ้างงานในชุมชนได้อย่างดี

จึงถือได้ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองของร้านค้าปลีกท้องถิ่น เพราะเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจชุมชน สามารถกระจายรายได้สู่เกษตรกรและผู้ค้ารายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเกษตรกรได้รับส่วนแบ่งสูงถึง 30-50% จากราคาขายในตลาดสด มากกว่าการกระจายรายได้จากซูเปอร์มาเก็ตไปสู่เกษตรกรที่มีสัดส่วนตัวเลขเพียง 5% เท่านั้น

เวลาเปลี่ยน! สังคมเปลี่ยน! ตลาดค้าปลีกเมืองไทย ไม่เหมือนเดิม?

ช่วงหลังปี 1990 หรือตั้งแต่ 2533 เป็นต้นมา ร้านค้าปลีกยุคใหม่ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การค้าปลีกของไทยให้แตกต่างไปจากเดิม ในปี 2021 มีร้านโชห่วยและร้านค้าท้องถิ่นประมาณ 400,000 แห่ง ลดลงจาก 500,000 แห่งในอดีต และคาดว่าลดลงปีละ 25,000 แห่ง เนื่องจากการแข่งขันจากร้านสะดวกซื้อ รวมถึงตลาดสดที่ลดลงทั่วประเทศเช่นกันโดยมีประมาณ 7,000 – 8,000 แห่ง

ถ้าดูมูลค่าตลาดค้าปลีกคาดว่ามีมูลค่า 5.4 ล้านล้านบาทในปี 2025 และจะโตไปจนถึง 7.1 ล้านล้านบาทในปี 2030 อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้ส่วนใหญ่มาจากค้าปลีกยุคใหม่ โดยในปี 2024 ร้านค้าท้องถิ่น ครองส่วนแบ่งตลาดเพียง 44.73% ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อครองถึง 39.33% และตัวเลขการขยายสาขาของร้านค้าปลีกยุคใหม่ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

  • 7-Eleven มีสาขา 15,430 แห่ง
  • Lotus’s มีสาขา 2,454 แห่ง
  • บิ๊กซีมินิ มีสาขา 1,602 แห่ง
  • CJ Express มีสาขา 700 – 800 แห่ง

และคาดว่าร้านค้าปลีกยุคใหม่จะมีสาขาเกิน 27,000 แห่งภายในปี 2030 ซึ่งความได้เปรียบของร้านยุคใหม่คือมีเครือข่ายใหญ่และอำนาจตลาดสูงกว่า โดย convenience stores คิดเป็น 20% ของส่วนแบ่งตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคสะท้อนถึงการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของค้าปลีกชุมชนได้อย่างชัดเจน

เปรียบเทียบความต่าง! การหมุนเวียนเม็ดเงิน ค้าปลีกชุมชน VS ค้าปลีกยุคใหม่

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างร้านเล็กกับเชนร้านใหญ่คือ “การหมุนเวียนของเม็ดเงินในท้องถิ่น (Local Multiplier Effect)” มีการวิเคราะห์กันว่า หากผู้บริโภคใช้จ่ายที่ร้านค้าชุมชน 100 บาท เม็ดเงินกว่า 45-68 บาท จะถูกนำไปใช้จ่ายต่อในพื้นที่ เช่น จ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของอาคารท้องถิ่น จ้างคนงานในพื้นที่ หรือซื้อวัตถุดิบจากตลาดใกล้เคียง ในทางกลับกัน เงินจำนวน 100 บาทที่จ่ายให้เชนร้านสะดวกซื้อ จะมีเงินไหลออกนอกชุมชนไปสู่สำนักงานใหญ่เกือบ 86 บาท

และการใช้จ่ายกับร้านค้าชุมชนยังส่งผลดีสู่เทรนด์ไทยยั่งยืนในอีกหลายมิติเช่น

1.การกระจายรายได้สู่ฐานราก

การใช้จ่ายกับร้านค้าในท้องถิ่นยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ใกล้เคียงให้เติบโตได้เพราะร้านค้าต้องใช้สินค้า /วัตถุดิบ จากเกษตกรในพื้นที่ ต่างจากเชนร้านเครือข่ายที่ส่วนใหญ่ใช้ระบบซัพพลายเชนของบริษัทแม่โดยข้อมูลระบุว่าในระบบค้าปลีกยุคใหม่ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต เกษตรกรได้รับส่วนแบ่งเพียง 5% จากราคาขายสินค้าเท่านั้น

2.สุขภาพของคนในชุมชนที่แข็งแรงกว่า

ตลาดสดกระตุ้นให้คนไทยซื้อผักผลไม้สดทุกวัน ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคผักสูงขึ้นและลดความเสี่ยงโรคอ้วน ในทางตรงข้าม เชนใหญ่โปรโมทอาหารแปรรูปที่อุดมด้วยน้ำตาล ไขมัน และเนื้อสัตว์ ทำให้อัตราอ้วนในไทยเพิ่มสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองที่ใช้ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก การบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้น 3 เท่า ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็ง

3.ลดขยะและรักษ์โลก

ร้านค้าท้องถิ่นช่วยลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยขายสินค้าสดที่ไม่ใช้บรรจุภัณฑ์มาก ในขณะที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตสร้างขยะพลาสติกมหาศาล โดยในกรุงเทพฯ คนใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ย 8 ใบต่อวัน และระบบอาหารอุตสาหกรรมที่เชนใหญ่โปรโมทมีส่วนทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 50% ของทั้งโลก รวมถึง 8-10% จากบรรจุภัณฑ์และการแปรรูป แม้เชนใหญ่จะเริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์และตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกมากขึ้น

แต่ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับผลกระทบโดยรวมกลยุทธ์ร้านค้าปลีกยุคใหม่หันมาใช้ Localized Marketing มากขึ้น

บรรดาค้าปลีกยุคใหม่ล้วนแต่มีพลังทางการเงิน แต่ละแบรนด์ก็มองเห็นโอกาสในการเพิ่มยอดขายด้วยการใช้ Localized Marketing ในการเข้าถึงลูกค้าแต่ละท้องถิ่น ยิ่งทำให้ค้าปลีกชุมชนหรือบรรดารายย่อยยิ่งอยู่ยากมากขึ้น เห็นตัวอย่างกันชัดๆเช่น

  • โลตัสสาขายะลาได้รวมห้างค้าปลีกค้าส่งไว้ในที่เดียวผลิตสินค้าฮาลาล การจัดระเบียบการวางผลิตภัณฑ์ฮาลาลภายในสาขาที่ถูกต้องตามหลักศาสนา การแบ่งแยกโซนการจัดเก็บที่ต้องผ่านกรรมวิธีฮาลาลอย่างถูกต้อง และการแยกโซนสินค้ากลุ่ม Non-Halal ไม่ให้ปะปนกับผลิตภัณฑ์ฮาลาล
  • แม็คโคร ในจังหวัดภูเก็ตที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากได้พัฒนาธุรกิจสู่ แม็คโคร ฟู้ดเซอร์วิส รองรับโอกาสจากการท่องเที่ยวที่เติบโตสูง และมีกาขรยายโซนสินค้าพรีเมียม โซนเบเกอรี่ที่อบสดใหม่ทุกวัน และเพิ่มเติมความหลากหลายให้กลุ่มสินค้าอุปโภคมากยิ่งขึ้น
  • 7-Eleven ปรับสินค้าและโปรโมชันให้เข้ากับชุมชนท้องถิ่น เช่น การนำเสนออาหารไทยพื้นบ้านอย่างข้าวเหนียวมะม่วงหรือน้ำพริกวางขายในสาขาต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับเกษตรกรท้องถิ่นผ่านโครงการ “7-Eleven Local Sourcing” เพื่อขายผักผลไม้สดจากชุมชน

ผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจาก “เทรนด์ไทยยั่งยืน”

แม้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าค้าปลีกยุคใหม่ก็หันมาจับตลาดท้องถิ่นมากขึ้น และย่อมส่งผลกระทบในระยะยาวต่อค้าปลีกรายย่อยที่ตัวเลขจำนวนเริ่มลดลงชัดเจน ทั้งที่ในความจริงค้าปลีกชุมชนรายเล็กๆ เหล่านี้ภาครัฐสามารถผลักดันให้เป็น Softpower เมืองไทยได้ เนื่องจากการสนับสนุนร้านค้าชุมชนไม่ได้เพียงจะช่วยกระจายรายได้ แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนทางเศรษฐกิจในอีกหลายด้าน

  1. ลดความเหลื่อมล้ำ รายได้ระหว่างเมืองและชนบท ซึ่งในไทย ดัชนีความเหลื่อมล้ำ อยู่ที่ 0.35 ในปี 2023 หากสนับสนุนร้านค้าชุมชนมากขึ้น คาดว่าสามารถลดความเหลื่อมล้ำลงได้ 5-10% ในระยะยาว
  2. ผลกระทบต่อ GDP เนื่องจากตัวเลขการค้าปลีกท้องถิ่นคิดเป็น 44.73% ของส่วนแบ่งตลาด การรักษาร้านค้าชุมชนช่วยให้เงินหมุนเวียนในท้องถิ่น ไม่ไหลไปสู่เครือข่ายใหญ่มากจนเกินไป
  3. โอกาสสำหรับ SME เพราะร้านค้าชุมชนเป็นช่องทางหลักในการจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SME) และ OTOP ซึ่งในปี 2025 SME คิดเป็น 35% ของ GDP และจ้างงาน 80% ของแรงงานทั้งหมด การสนับสนุนร้านค้าชุมชนช่วยให้ SME เติบโต ซึ่งสร้างงานเพิ่มได้ถึง 10-15%
  4. รักษาวัฒนธรรมท้องถิ่นและอัตลักษณ์ของไทยได้เป็นอย่างดี เช่น สมุนไพรหรืออาหารท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค เป็นจุดแข็งที่พัฒนาไปสู่การ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ คาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากถึง 2.2 ล้านล้านบาท
  5. สร้างความสัมพันธ์ทางสังคม โดยความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายในร้านค้าชุมชนช่วยลดความขัดแย้งในสังคมและเพิ่มความสามัคคี ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศได้

อย่างไรก็ดีในยุคที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลง ร้านค้าท้องถิ่นเองก็ควรปรับตัวไปพร้อมกับเทรนด์ความยั่งยืนผสานการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเช่นการเข้าร่วมแอพเดลิเวอรี หรือใช้ social media เพื่อโปรโมทสินค้าท้องถิ่น หรือการสร้างจุดเด่นชุมชนเช่นการจัดงานเทศกาลอาหารท้องถิ่น เพื่อดึงดูดลูกค้าและนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้และรักษาวัฒนธรรมไปพร้อมๆกันได้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

 

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด