เทรนด์ Overhome อยู่บ้านให้นาน ประหยัดให้มาก

หลังการระบาดของ COVID-19 มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ถ้าดูช่วงหลังผ่าน COVID ใหม่ๆ คนยังมีการตื่นตระหนกกันมากและไลฟ์สไตล์หลายอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

  • ลดการไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน และใช้บริการ Delivery มากขึ้น
  • ลดการไปในสถานที่มีคนหนาแน่น
  • ช้อปปิ้งผ่านออนไลน์ แทนการไปซื้อที่ร้าน
  • องค์กรปรับนโยบายการทำงานจาก Work From Home (ช่วง COVID ระบาด) มาเป็น Hybrid คือ สลับกันเข้าออฟฟิศ เพื่อลดความหนาแน่นของคน หรือบางบริษัทใช้วิธียืดหยุ่น ให้พนักงานเลือกได้ว่าใครจะ Work From Home ใครจะเข้าออฟฟิศ เป็นต้น

มาถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายปีแต่ต้องยอมรับว่ามีหลายพฤติกรรมที่มีผลสืบเนื่อง อันเป็นผลจากการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) และการใช้ชีวิตในบ้านนานขึ้น กลายเป็นทั้งความจำเป็นและความสมัครใจ ก่อให้เกิดกระแสใหม่ที่เรียกว่า “Overhome” หรือการใช้เวลาในบ้านมากขึ้น พร้อมการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อและต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น

ภาพจาก https://elements.envato.com

ถ้าดูข้อมูลที่มีการสำรวจกันมาจากหลากหลายสถาบันก็ยิ่งชัดเจนว่าเทรนด์ Overhome นั้นมาแรงกว่าที่คิด

  • 70% ของคนวัยทำงานทั่วโลก ต้องการทำงานจากบ้านอย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • ปริมาณการใช้อินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้นกว่า 35% หลังปี 2020
  • ธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงภายในบ้านเช่น Netflix โตขึ้นกว่า 25% ต่อปี
  • 62% ของคนไทยหันมาเลือกสินค้าราคาประหยัด และเน้นโปรโมชั่นมากขึ้น
  • ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์เพิ่มขึ้นเกือบ 40%
  • การซื้อวัตถุดิบสดเพิ่มขึ้นกว่า 18% ขณะที่ยอดขายอาหารนอกบ้านชะลอตัว

สอดคล้องกับข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่มีแนวโน้มการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Grocery) เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากการที่ผู้คนหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านมากขึ้น การใช้จ่ายในหมวดหมู่นี้ขยายตัวทั้งในด้าน ‘ปริมาณ’ และ ‘ความถี่’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกใช้จ่ายอย่างรอบคอบและลดการรับประทานอาหารนอกบ้านลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่ม Silver Spenders หรือคนวัยเกษียณแม้จะมีจำนวนน้อยที่สุด แต่กลับมียอดใช้จ่ายต่อคนสูงกว่าภาพรวมถึง 3 เท่า

ภาพจาก https://elements.envato.com

แม้แต่ในอเมริกาเองก็มีรายงานน่าสนใจที่ระบุว่าสหรัฐอเมริกากำลังกลายเป็น “ชาติแห่ง homebodies” ที่ผู้คนเลือกอยู่บ้านมากกว่าเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายภายนอกและสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ คล้ายกับเทรนด์ “No Buy 2025″ และ “Low Buy 2025” ที่เน้นซื้อเฉพาะของจำเป็น เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ผันผวนภายใต้นโยบายใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดกลับมาที่เมืองไทยกันบ้างถ้ามองในแง่ธุรกิจเทรนด์ Overhome อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่และไม่ใช่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็น “New Normal” ของผู้บริโภคในยุคเงินเฟ้อสูงและค่าใช้จ่ายไม่แน่นอน ธุรกิจที่อยู่รอดได้ต้อง ผสมผสานความสะดวก + ความคุ้มค่า + ความยืดหยุ่น กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายให้หลายธุรกิจได้ปรับตัว หันมาเน้นคุณค่า ความยั่งยืน และบริการที่สะดวกสบายที่บ้าน เพราะจากข้อมูลปี 2025 ผู้บริโภคไทยกว่า 60% ลดการใช้จ่ายนอกบ้านเพื่อออมเงิน ขณะที่ยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 25% เนื่องจากการอยู่บ้านนานขึ้น และปรากฏการร์นี้ส่งผลเชิงบวกในหลายด้าน เช่น

  • เป็นโอกาสทองของ ใน e-commerce และ delivery โดยยอดขายอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแอปเพิ่ม 40% จากการสั่งของถึงบ้าน
  • ธุรกิจของใช้ในบ้าน / เฟอร์นิเจอร์ เติบโต โดยยอดขายเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์โตเกือบ 40% โดยเฉพาะโต๊ะทำงาน เก้าอี้สุขภาพ
  • อาหารสด & พร้อมปรุง มียอดขายเพิ่ม โดยเฉพาะSupermarket , Fresh Market ที่มีบริการส่งวัตถุดิบให้ถึงบ้าน จากข้อมูลก็ยืนยันได้ชัดว่าคนทำอาหารเองที่บ้านเพิ่มขึ้นกว่า 18%

ถ้าดูลึกซึ้งลงไปในแต่ละธุรกิจพบว่ามีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับ เทรนด์ Overhome นี้เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างธุรกิจค้าปลีก / ซูเปอร์มาเก็ต อย่าง Lotus’s และ Big C ได้เปิดบริการ Lotus’s Smart App และ Big C online ที่สามารถสั่งของสดส่งถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมง

ภาพจาก https://elements.envato.com

หรือการจัดโปรโมชัน “ชุดทำอาหารพร้อมสูตร” เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ต้องการทำอาหารทานเองที่บ้าน และยังมีการตั้งราคาสินค้ากลุ่ม house brand ถูกลง 20-30% เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เน้นความคุ้มค่า ซึ่งผลจากการทำตลาดในรูปแบบนี้มีรายงานว่าเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้โตเกิน 50% ในกลุ่มของเฟอร์นิเจอร์ / ของแต่งบ้าน ธุรกิจอย่าง IKEA เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เอาใจ เทรนด์ Overhome เช่น การเปิดตัวสินค้ากลุ่ม Home Office เช่น โต๊ะปรับระดับ เก้าอี้เพื่อสุขภาพ , การทำคอนเทนต์ “IKEA at Home” สอนแต่งบ้านเล็กให้เป็นทั้งห้องทำงานและมุมพักผ่อน หรือการเปิดบริการ Click & Collect / Home Delivery ตอบโจทย์คนไม่อยากออกไปช็อป และจากการทำตลาดแนวหลักในลักษณะนี้ IKEA Online Thailand มียอดเติบโตสูงกว่า 30% ในช่วงที่ผ่านมา หรือแม้แต่ธุรกิจฟิตเนส & สุขภาพที่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจาก เทรนด์ Overhome เพราะคนไม่อยากออกจากบ้าน แต่หลายแบรนด์ก็ปรับตัวให้สอดคล้องเพื่อเพิ่มยอดขาย

ภาพจาก https://elements.envato.com

ยกตัวอย่าง Jetts เสนอแพ็กเกจ On-demand Video + Online สำหรับคนออกกำลังกายที่บ้าน หรือ FitFest Online (สตาร์ทอัพไทย) จัดคลาสเวิร์กเอาต์สดทางออนไลน์ + ส่งอุปกรณ์เช่า เป็นต้น อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ GrabFood ที่ปรับจาก delivery ธรรมดาสู่ “Grab Home Kit” ชุดอาหารพร้อมปรุงราคาประหยัด (ต่ำกว่า 200 บาท/มื้อ) ที่ส่งถึงบ้าน ร่วมกับเชฟดังสอน DIY cooking ผ่าน live บนแอป เพื่อให้ลูกค้าประหยัดและสนุกกับการทำอาหารที่บ้าน โดยในปี 2025 ยอดสั่งชุดนี้โต 45% จากผู้บริโภคที่ลดกินนอกบ้านตามเทรนด์ Overhome ที่กำลังมาแรง เคสเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจไทยที่ปรับตัวเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีและเข้าใจ pain point ของลูกค้า สามารถพลิกวิกฤต Overhome ให้เป็นโอกาสเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในอนาคตหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ เทรนด์ Overhome จะยิ่งแข็งแรงขึ้น และไม่แน่ว่าเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเทรนด์ Overhome อาจยกระดับขึ้นเพราะเมื่อผู้คนเริ่มคิดถึง “การใช้ชีวิตแบบสมดุล” อาจเกิดการผสมผสานใหม่คือ “Selective Outside” หรือเลือกออกไปข้างนอกเฉพาะกิจกรรมที่คุ้มค่า เช่น ท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ หรือการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์พิเศษ อย่างไรก็ดีการปรับตัวของธุรกิจให้สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วคือตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริงของการทำธุรกิจในยุคนี้

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)

นักเขียน ผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงข่าวสาร การค้า การลงทุน มีความสนใจเรื่องของธุรกิจเอสเอ็มอี และแฟรนไช