เทคนิคขายขั้นสุด ให้คนที่ไม่อยากซื้อ สร้างยอดขายได้แบบไม่ต้องตื้อ
การโน้มน้าวลูกค้าที่ลังเลหรือไม่มีความตั้งใจซื้อตั้งแต่แรก (reluctant buyers) เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยทั้งกลยุทธ์จิตวิทยาและข้อมูลเชิงลึก
มีงานวิจัยที่ระบุชัดว่าการออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการขายสามารถเพิ่มอัตราการซื้อได้ถึง 30-50% ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่สนใจซื้อในตอนแรก ถ้าดูรายละเอียดให้ลึกไปอีกหน่อยพบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ 57% จะเริ่มสนใจสินค้าเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน
นั่นหมายความว่า ลูกค้าที่บอกว่า “ไม่เอา” จริง ๆ แล้วอาจแค่ยัง ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งถ้าดูเหตุผลว่าทำไมคนถึงไม่อยากซื้อสินค้ามาจากอุปสรรคหลักๆ คือ
- 40% รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใช้สินค้า/บริการ
- 30% ขาดความไว้วางใจในแบรนด์
- 25% รู้สึกว่าราคาไม่สมเหตุสมผล
ลองมองในอีกมุมหนึ่งถ้าเราเปลี่ยนใจคนที่ไม่อยากซื้อให้กลายเป็นลูกค้าได้ นอกจากยอดขายที่เพิ่มยังมีโอกาสเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อการทำธุรกิจในระยะยาวด้วย
เคล็ดลับของการขายของให้คนที่ไม่อยากได้ ทำยังไงให้เขาเลือกซื้อก็มีหลายวิธีที่ใช้ได้ผลจริง
1.เน้นการขายผลลัพธ์ของสินค้า ไม่ใช่การขายของ

เพราะลูกค้าจะตัดสินใจได้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าสินค้าที่ต้องจ่ายเงินนั้นมันมีประโยชน์มากพอ ถ้าลูกค้ามองว่าไม่จำเป็นการซื้อขายก็จะไม่เกิดขึ้น
อาจใช้เทคนิคของ Storytelling เล่าเรื่องเชื่อมโยงทางอารมณ์ ให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้านี้เหมาะสมจะซื้อมากแค่ไหน มีตัวเลขน่าสนใจระบุว่า การใช้ storytelling ในแคมเปญการตลาดเพิ่มอัตราการซื้อถึง 20% ในกลุ่มที่ไม่สนใจซื้อ และเพิ่ม engagement บนโซเชียลมีเดียถึง 35%
2.เข้าใจ Pain Point และแก้ปัญหาได้

อะไรที่เป็นปัญหาของลูกค้าถ้าสินค้าเราช่วยแก้ปัญหานั้นได้ ยังไงก็ขายได้ แต่ปัญหาคือจะนำเสนอให้ลูกค้ารู้สึกแบบนั้นได้อย่างไรสถิติด้านการตลาดชี้ชัดว่า ลูกค้าที่รู้สึกว่า ปัญหาของเขาได้รับการเข้าใจและแก้ตรงจุด มีโอกาสตัดสินใจซื้อมากขึ้นถึง 48–74% และการขายเชิงแก้ปัญหา (Solution Selling) ช่วยเพิ่มอัตราการปิดการขายได้เฉลี่ย 20–30% เมื่อเทียบกับการขายทั่วไป
3.การใช้ Fear of Missing Out (FOMO)

การที่ไม่อยากซื้อส่วนหนึ่งลูกค้าอาจจะยังลังเล ในทางจิตวิทยาถ้ามีตัวกระตุ้นที่น่าสนใจ อาจทำให้การตัดสินใจเป็นเรื่องง่ายขึ้น เช่นสร้างข้อจำกัดในเรื่องเวลาด้วยโปรโมชั่น สถิติในเรื่องนี้ก็ชัดเจนว่า 60% ของผู้บริโภค ตัดสินใจซื้อเพราะกลัวพลาดโปรโมชัน และแคมเปญที่ใช้ FOMO สามารถเพิ่มยอดขายได้ 22% ในช่วงโปรโมชัน
4.การปรับ Pack Size และราคาให้ยืดหยุ่น

การนำเสนอขนาดบรรจุภัณฑ์ที่เล็กลงหรือตัวเลือกทดลองใช้ช่วยลดความรู้สึกเสี่ยงของลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อมีความกังวลเรื่องราคาหรือความจำเป็น
ดูในเชิงสถิติพบว่าการนำเสนอ Pack Size ขนาดเล็กเพิ่มอัตราการซื้อครั้งแรกได้ 25% และ 15% ของลูกค้าเหล่านี้กลายเป็นลูกค้าประจำ และการลดราคาเริ่มต้นเพียง 10% สามารถเพิ่มกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้า (conversion rate) ได้ถึง 18%
5. การให้ประสบการณ์ส่วนตัว (Personalization)

การปรับข้อเสนอให้ตรงกับความต้องการเฉพาะ เช่น การแนะนำสินค้าตามพฤติกรรมการซื้อ ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่า “สินค้านี้ทำมาเพื่อตัวเราโดยเฉพาะ” ตัวเลขที่น่าสนใจระบุว่า การใช้ personalization เพิ่มยอดขายได้ 10-15% และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้ 20%
ถ้าดูตัวอย่างของสินค้าที่ไม่คนไม่น่าสนใจแต่ขายดีก็จะทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ยกตัวอย่าง Pet Rock หรือหินสัตว์เลี้ยงที่ ส่วนใหญ่คิดว่า “ใครจะซื้อหินมาเลี้ยง” แต่ด้วยเทคนิคการสร้าง storytelling + ราคาถูก
สุดท้ายสินค้านี้ขายได้ 1.5 ล้านชิ้นในเวลาเพียง 6 เดือน หรือ Snuggie ผลิตภัณฑ์ผ้าห่มมีแขนที่เปิดตัวในปี 2008 รูปลักษณ์สินค้าไม่น่าสนใจแถมยังดูเป็นตัวตลกเมื่อสวมใส่แต่เอาเข้าจริง ดันขายดีเพราะเข้าใจ Pain Point และแก้ปัญหาลูกค้าได้ เพราะสามารถใส่ Snuggie แล้วทำกิจกรรมต่างๆ เช่น อ่านหนังสือ กินขนม ได้ทันทีโดยไม่ต้องถอดตัวจากผ้าห่ม กลายเป็นภาพลักษณ์สินค้าที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และขายได้กว่า30 ล้านชิ้น สร้างรายได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ในแต่ละวิธีขายก็มีจุดเด่นที่แตกต่างแต่ถ้าทำได้การนำเอา storytelling + social proof + FOMO มาใช้รวมกันจะมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากถึง 50% และในฐานะเจ้าของธุรกิจต้องเข้าใจหลักพื้นฐานว่าการขายให้ลูกค้าที่ไม่อยากซื้อ
ต้องไม่ใช่การบังคับ แต่คือการ ช่วยให้เขาเห็นความจริงเชิงตัวเลข เมื่อปัญหาถูกแปลงเป็นตัวเลขเงิน/เวลา ลูกค้าจะตัดสินใจง่ายขึ้นจากที่ “ไม่อยากซื้อ” ก็จะกลายเป็น “ไม่กล้าปล่อยให้โอกาสหลุดมือ”
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




