อัตราความสําเร็จ IUI และวิธีเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์
ในปัจจุบันคู่รักจำนวนไม่น้อยประสบปัญหา “ภาวะมีบุตรยาก” ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุทางร่างกายหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต การแพทย์สมัยใหม่จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ การฉีดน้ำเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก หรือที่เรียกว่า IUI (Intrauterine Insemination) ซึ่งเป็นการรักษาที่มีขั้นตอนง่ายกว่า IVF และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า จึงเหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยอัตราความสําเร็จของ IUI จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
IUI คืออะไร ?
กระบวนการที่เพิ่มอัตราความสําเร็จของ IUI คือการคัดเลือกน้ำเชื้ออสุจิที่แข็งแรงจากฝ่ายชาย แล้วฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกของฝ่ายหญิงโดยตรง ในช่วงที่ไข่ตก เพื่อเพิ่มโอกาสให้อสุจิสามารถเข้าปฏิสนธิกับไข่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะสำหรับคู่ที่มีสาเหตุ ดังนี้
- อสุจิมีจำนวนหรือความแข็งแรงต่ำ
- ปัญหาเกี่ยวกับมูกปากมดลูก
- ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในระดับไม่รุนแรง
- คู่สมรสที่ไม่ทราบสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก
อัตราความสำเร็จของ IUI
แม้ว่าการทำ IUI จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยและใช้เทคนิคไม่ซับซ้อนเท่าการทำ IVF แต่อัตราความสำเร็จของ IUI ก็ยังมีข้อจำกัดและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยทั่วไปจะมีดังต่อไปนี้
- อัตราความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 10% – 20% ต่อรอบการทำ
- หากทำ IUI ต่อเนื่อง 3-4 รอบ โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นถึง 30% – 40%
- โอกาสสำเร็จจะลดลงในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือมีปัญหาเรื่องคุณภาพของไข่
- ปัจจัยจากฝ่ายชาย เช่น ปริมาณและการเคลื่อนไหวของอสุจิก็มีผลอย่างมาก
ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จาก IUI
การเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนและระหว่างการทำ IUI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น โดยสามารถเริ่มจากสิ่งเหล่านี้
1. เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม
การทำ IUI ควรทำในช่วงไข่ตกซึ่งแพทย์จะติดตามและวางแผนฉีดเชื้อในช่วงที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้อสุจิได้พบกับไข่ได้ตรงเวลา
2. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไปสามารถส่งผลต่อฮอร์โมนและรอบเดือน ซึ่งอาจทำให้การตกไข่ไม่สม่ำเสมอ
3. ลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ความเครียดส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมน การผ่อนคลายจิตใจ นอนหลับให้เพียงพอ และทำกิจกรรมที่ช่วยลดความวิตกกังวลจะส่งผลดีต่อการทำ IUI
4. งดแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลเสียต่อคุณภาพของไข่และอสุจิ ทั้งยังอาจส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนในมดลูก
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
เลือกอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน B, C, D, E, กรดโฟลิก และโอเมก้า 3 เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพของไข่และสเปิร์ม เช่น ผักใบเขียว ปลาแซลมอน ถั่ว และผลไม้สด
6. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การปรึกษาแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงของภาวะมีบุตรยาก และเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละคู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำ IUI เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคู่รักที่มีปัญหามีบุตรยากระดับเบื้องต้น ด้วยอัตราความสำเร็จที่เหมาะสมในราคาที่จับต้องได้ แต่การเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ การปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม รวมถึงการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณและคนรักกำลังวางแผนมีลูก การเริ่มต้นจากการตรวจสุขภาพและขอคำปรึกษาจากคลินิกมีบุตรยากคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญค่ะ