หมดยุค! Solopreneur เป็นทุกอย่าง แต่ไม่โตสักอย่าง
ทำคนเดียว! รวยคนเดียว! รายได้ไม่ต้องแบ่งใคร ทำธุรกิจแบบนี้จะรวยจริงไหม หรือความจริงแล้วไม่ควรทำธุรกิจในรูปแบบนี้ ?
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของธุรกิจที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อาจไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนเพียงอย่างเดียวบางธุรกิจมีหุ้นส่วนเยอะก็อาจทำให้การตัดสินใจช้ากว่าทำงานคนเดียว แต่ทำงานเป็นทีมก็มีคนช่วยคิดช่วยตัดสินใจ
ทำให้การแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาธุรกิจอาจทำได้ดีกว่า ดังนั้น จะทำคนเดียวหรือทำเป็นทีม มันขึ้นอยู่กับ “กระบวนการ” รวมถึงการปรับตัวให้ธุรกิจนั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
แต่ที่แน่ๆ ถ้าเลือกทำธุรกิจคนเดียวเท่ากับว่าเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และมีข้อเสียที่ควรรู้ได้แก่
- ความรับผิดชอบสูง เพราะต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว
- ทรัพยากรมีจำกัด เช่นเงินทุนจำกัด ความรู้จำกัด การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตทำได้ยาก
- ความเสี่ยงสูง เพราะทำงานคนเดียวหากเจ็บป่วยหรือ มีปัญหาส่วนตัวใดๆ จะกระทบธุรกิจทันที
- ความเครียดสูง สัมพันธ์กับความรับผิดชอบในธุรกิจที่มีรอบด้าน
- ขาดทักษะบางอย่าง เพราะคนเดียวไม่อาจมีความรู้ทุกอย่าง บางเรื่องก็อาจไม่เก่ง
- โอกาสขยายสาขาทำได้ยาก เพราะการดูแลที่ไม่ทั่วถึง เนื่องจากทำงานคนเดียว
มีตัวอย่างของร้านอาหารบางแห่งที่อร่อยมาก ลูกค้าเยอะ แต่เจ้าของทำคนเดียวดูแลทุกอย่าง มีเพียงพนักงานช่วยเสิร์ฟในร้านแค่ 2-3 คนเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นธุรกิจที่รายได้ดี แต่ก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาหากมีข้อผิดพลาดนิดเดียวธุรกิจนี้จะหยุดชะงักได้ทันที เช่น เจ้าของร้านเจ็บป่วย , ขาดแคลนพนักงานประจำร้าน
ที่สำคัญธุรกิจที่ทำคนเดียวสิ่งที่ต้องเสียไปแน่ๆคือ “เวลา” จะไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้เลย เพราะทั้งวันต้องอยู่ร้าน เริ่มตั้งแต่เช้าจัดหาวัตถุดิบเข้าร้าน , จัดสต็อคสินค้า , เริ่มเปิดร้าน , ทำอาหารตามออร์เดอร์ , ดูแลปัญหาภายในร้าน , เช็คสต็อคสินค้าหลังเลิกงาน , ตรวจสอบบัญชียอดขายในแต่ละวัน ซึ่งทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย เช้าวันต่อมาก็ต้องวนลูปมาเริ่มต้นกันใหม่ เป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี
ถ้าลองเปรียบเทียบร้านอาหารแบบทำคนเดียวกับ แบบร้านอาหารที่มีระบบ ก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันคือ
เกณฑ์ | ร้านอาหารทำคนเดียว | ร้านอาหารมีระบบ |
---|---|---|
ความเร็วเปิดร้าน | เร็ว (2 – 4 เดือน) เพราะตัดสินใจเอง | ช้ากว่า (4 – 8 เดือน) เพราะต้องวางระบบ + ฝึกทีม |
กำลังการผลิต | มีจำกัดเพราะเจ้าของทำหลายหน้าที่ | มีมากกว่าเพราะมีพนักงานครัว เสิร์ฟ แคชเชียร์ |
รายได้ต่อวัน (ร้านกลางๆ) | 5,000 – 15,000 บาท | 20,000 – 80,000 บาท |
ต้นทุนแรงงาน | ต่ำ (10 – 20% ของรายได้) | สูง (25 – 35% ของรายได้) |
ความเหนื่อย | สูงมาก ทำทั้งหมด เสิร์ฟ บริหาร | แบ่งหน้าที่ ลดภาระเจ้าของ |
โอกาสขยายสาขา | แทบไม่มี เพราะต้องอยู่ร้านเอง | สูง สามารถเปิดหลายสาขาได้ |
ซึ่งการทำธุรกิจแบบมีระบบจะเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจได้มากกว่า แม้จะมีต้นทุนด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นแต่ก็แลกมาด้วยรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับคนที่ทำธุรกิจคนเดียวอาจค่อยๆ เริ่มมาสนใจในการพัฒนาระบบร้านเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น มีขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงคือ
1. จดบันทึกทุกงานที่ทำ สร้าง SOP จากประสบการณ์จริง
ไม่ใช่เรื่องยากยิ่งเจ้าของที่เคยทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ลองจดรายละเอียดที่ตัวเองต้องทำทุกอย่างไว้ เช่น ก่อนเปิดร้านทำอะไร , เตรียมวัตถุดิบอย่างไร , เซ็ตอุปกรณ์แบบไหน , จัดวางอุปกรณ์ในร้านอย่างไร ยิ่งจดรายละเอียดได้ดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถ่ายทอดให้คนอื่นทำตามได้ดีมากขึ้นเท่านั้น เป็นพื้นฐานของการสร้างระบบที่ลดภาระตัวเองได้
2. เขียนปัญหาประจำวัน + วิธีแก้
ทุกวันที่เปิดร้าน จะมีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้น การจดบันทึกวิธีแก้ปัญหาไว้ทุกอย่าง เช่นแก๊สหมด , ไฟไม่ติด , เครื่องชำระเงินเสีย , พนักงานขาดลามาสาย , สต็อควัตถุดิบไม่พอ ฯลฯ ยิ่งมีปัญหามาก มีวิธีแก้ไขมาก ก็ยิ่งทำให้มีข้อมูลมากสำหรับการถ่ายทอดสู่พนักงานเพื่อสร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
3. คำนวณกำไรใหม่ รายได้ตัวเองลดลง
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ทำธุรกิจคนเดียวคือคิดว่าไม่อยากจ้างคนอื่น ไม่อยากแบ่งรายได้ให้ใคร กลัวรายได้ตัวเองลด แต่ถ้าคิดในอีกมุมเช่นรายได้ 50,000 เราเก็บหมด แต่จะเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาพัก ไม่มีโอกาสเติบโตขยายสาขา แต่ถ้าลองจ้างพนักงานสัก 2 คน เงินเดือน 15,000 (2 คน = 30,000) กำไรจะเหลือ 20,000
แต่สิ่งที่จะได้คือการเปิดร้านที่มีระยะเวลานานขึ้นหรือเรามีเวลาไปหารายได้จากทางอื่นเพิ่มขึ้น รายได้ของร้านจากที่เคยได้ 50,000 ก็อาจจะเพิ่มเป็น 80,000 – 100,000 หักลบต้นทุนแล้ว ก็เท่ากับรายได้ไม่ลดลงจากตอนที่เคยทำคนเดียว แต่มีโอกาสเติบโตและลดภาระตัวเองได้อย่างมาก
อย่างไรก็ดีสำหรับคนทำธุรกิจใหม่ๆในช่วงแรกอาจทำคนเดียวไปก่อนได้เพื่อสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ปัญหา เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ในระหว่างนั้นก็สะสมความรู้ ผสผมสานการสร้างระบบบริหารจัดการร้าน ควรให้เป็นธุรกิจที่มีระบบบริหารจัดการภายใน 2-3 ปี อันจะเป็นผลดีและเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ในอนาคต
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)