สัญญาณเตือนภัยเงียบ รู้ทันโรคมะเร็งตับอ่อน
มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer) เป็นโรคที่ถูกขนานนามว่า “นักฆ่าเงียบ” เพราะมักไม่แสดงอาการในระยะแรก และเมื่อมีอาการที่ชัดเจนก็มักเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ทำให้การรักษาเป็นไปได้ยากและโอกาสรอดชีวิตน้อยกว่ามะเร็งชนิดอื่น การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจช่วยให้พบโรคได้เร็วขึ้น และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผล
ทำความรู้จักกับตับอ่อน
ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่อยู่ลึกภายในช่องท้อง มีหน้าที่สำคัญในการผลิตน้ำย่อยสำหรับช่วยย่อยอาหาร และสร้างฮอร์โมนอินซูลินควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มะเร็งตับอ่อนมักเริ่มจากเซลล์เยื่อบุท่อน้ำดีภายในตับอ่อน และลุกลามได้รวดเร็วโดยไม่แสดงอาการเด่นชัดในระยะแรก
สัญญาณเตือนภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
แม้อาการจะไม่ชัดเจนในระยะแรก แต่ร่างกายอาจส่งสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกความผิดปกติได้ หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายข้อ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม
- ปวดท้องร้าวไปหลัง: อาการปวดเรื้อรังบริเวณช่วงท้องส่วนบน หรือปวดร้าวไปถึงหลัง อาจเกิดจากเนื้องอกกดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะข้างเคียง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นผลจากการที่มะเร็งไปรบกวนระบบย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน: เป็นอาการที่พบได้บ่อย เนื่องจากเนื้องอกอาจไปรบกวนระบบทางเดินอาหาร
- ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน) : หากเนื้องอกเกิดที่บริเวณหัวตับอ่อน อาจกดท่อน้ำดี ทำให้เกิดอาการดีซ่าน
- อุจจาระสีซีด ปัสสาวะสีเข้ม: เกิดจากน้ำดีไม่สามารถไหลเข้าสู่ลำไส้ตามปกติได้
- โรคเบาหวานเกิดใหม่ในผู้สูงอายุ: การเกิดเบาหวานแบบเฉียบพลันในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติ อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของมะเร็งตับอ่อน
ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน
- อายุ 60 ปีขึ้นไป
- สูบบุหรี่
- โรคเบาหวานเรื้อรัง
- โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
- พันธุกรรมหรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับอ่อน
- การรับประทานอาหารไขมันสูง
ตรวจพบเร็ว มีโอกาสรอดสูงขึ้น
เนื่องจากอาการของมะเร็งตับอ่อนมักไม่เฉพาะเจาะจง การตรวจสุขภาพประจำปีโดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญ การตรวจด้วยการอัลตราซาวด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจค่า CA 19-9 ซึ่งเป็นสารบ่งชี้มะเร็งบางชนิด อาจช่วยในการค้นพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
มะเร็งตับอ่อนเป็นภัยเงียบที่ร้ายแรง และมักตรวจพบช้า แต่หากเราหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย ไม่มองข้ามสัญญาณเล็กๆ และใส่ใจตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและได้รับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น