ปากกาลดน้ำหนักเหมาะกับใคร หยุดใช้แล้วโยโย่มั้ย
ในยุคที่เทรนด์สุขภาพมาแรง ปากกาลดน้ำหนักกลายเป็นไอเทมสุดฮิตที่หลายคนมองว่าเป็น “ทางลัด” สู่หุ่นลีน แต่ก็มาพร้อมข้อสงสัยที่ค้างคาใจ โดยเฉพาะ 2 คำถามใหญ่คือ “แท้จริงแล้วมันเหมาะกับทุกคนหรือเปล่า?” และ “ถ้าหยุดใช้… น้ำหนักจะตีกลับ หรือเกิดโยโย่เอฟเฟกต์หรือไม่?” บทความนี้ S’RENE by SLC มีคำตอบที่ชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ปากกาลดน้ำหนัก คืออะไร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจตรงกันก่อนว่า ปากกาลดน้ำหนัก (Weight-Loss Pen) ไม่ใช่ “ยาลดความอ้วน” แบบเดิมๆ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่เป็นยาในกลุ่ม GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) analogue ซึ่งเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อเลียนแบบการทำงานของ “ฮอร์โมนอิ่ม” ที่มีอยู่ตามธรรมชาติในลำไส้ของเรา
โดยกลไกหลักๆ ที่ช่วยให้น้ำหนักลดลง มาจากการที่ตัวยาเข้าไป
- ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ยาจะไปออกฤทธิ์ที่สมองส่วนควบคุมความอิ่ม ทำให้เรารู้สึกอิ่มไวกว่าปกติแม้จะทานในปริมาณที่น้อยลง
- ลดความอยากอาหาร ช่วยควบคุมความหิว ทำให้ไม่รู้สึกอยากกินจุกจิก หรืออยากอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง
- ชะลอการย่อยอาหารในกระเพาะ ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น (Delayed Gastric Emptying) ส่งผลให้รู้สึกอิ่มนานตลอดทั้งวัน
ปากกาลดน้ำหนัก เหมาะกับใคร
เมื่อรู้กลไกแล้ว คำถามต่อมาคือ “แล้วเราล่ะ…เหมาะที่จะใช้ไหม?” เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะปากกาลดน้ำหนักไม่ใช่ว่าใครก็ใช้ได้ ในส่วนนี้ทาง S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับคนเมือง (Urban Wellness Clinic) ที่เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและชะลอวัย จะมาให้คำแนะนำอย่างละเอียดว่า ปากกาลดน้ำหนักนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อใคร และใครที่ห้ามใช้เด็ดขาด
กลุ่มคนที่ “เหมาะ” และควรใช้ (ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์)
โดยหลักการแล้ว ปากกาลดน้ำหนักถือเป็นเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน โดยมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 30 kg/m² ขึ้นไป
- ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (BMI ตั้งแต่ 27 kg/m²) และมีโรคร่วมอย่างน้อย 1 อย่างที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน เช่น เบาหวานชนิดที่ 2, ความดันโลหิตสูง, หรือไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีมาตรฐาน (เช่น คุมอาหารอย่างจริงจัง และออกกำลังกายสม่ำเสมอ) แล้ว แต่น้ำหนักยังไม่ลดลงตามเป้าหมาย
กลุ่มคนที่ “ไม่เหมาะ” หรือควรหลีกเลี่ยง (ข้อห้ามใช้)
ในทางกลับกัน กลุ่มคนเหล่านี้ถือเป็นข้อห้ามใช้ยาโดยเด็ดขาด หรือต้องใช้ด้วยความระมัดระวังสูงสุดจากแพทย์
- สตรีมีครรภ์ กำลังวางแผนมีบุตร หรือกำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติส่วนตัว หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งไทรอยด์ชนิด Medullary Thyroid Carcinoma (MTC)
- ผู้ป่วยโรคเนื้องอกของต่อมไร้ท่อชนิด Multiple Endocrine Neoplasia syndrome type 2 (MEN 2)
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาตัวนี้ (เช่น Liraglutide, Semaglutide) หรือส่วนประกอบในยา
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

หยุดใช้ปากกาลดน้ำหนัก แล้วจะโยโย่มั้ย
นี่คือคำถามที่คนกังวลมากที่สุด! “หยุดยาแล้วจะกลับมาอ้วนไหม?” เราต้องคุยกันแบบตรงไปตรงมาว่า โอกาสเกิด “โยโย่ เอฟเฟกต์” (Yo-Yo Effect) นั้นมีอยู่จริง และมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก
ต้องเข้าใจก่อนว่ายาไม่ได้เปลี่ยน “นิสัย” การกินถาวร ยาแค่ไป “กดความอยาก” และ “ช่วยให้อิ่มเร็ว” ในช่วงที่เราใช้เท่านั้น เมื่อเราหยุดยา กลไกเหล่านี้จะหายไป หากเรายังคงมีพฤติกรรมการกินที่เหมือนเดิม (เช่น ยังติดหวาน ติดมัน กินเกินแคลอรีที่ร่างกายต้องการ) ความอยากอาหารที่เคยถูกกดไว้จะกลับมาเท่าเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ (Rebound Hunger) ทำให้น้ำหนักดีดกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ทำอย่างไรไม่ให้ “โยโย่” หลังหยุดยา
เราสามารถป้องกันไม่ให้โยโย่หลังหยุดใช้ยาได้! หัวใจสำคัญคือการ “สร้างวินัย” ในช่วงที่ยังใช้ยา เพื่อให้ร่างกายและจิตใจคุ้นชินกับไลฟ์สไตล์ใหม่ ดังนี้
- ต้องปรับพฤติกรรมการกินถาวร ใช้โอกาสนี้เรียนรู้การกินที่ถูกต้อง เน้นโปรตีน ผักกากใย ลดของทอด ของมัน น้ำตาล สร้าง “New Normal” ให้กับการกินของเรา
- ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักมักทำให้มวลกล้ามเนื้อหายไป (ซึ่งทำให้ระบบเผาผลาญต่ำลง) จึงจำเป็นต้องออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ และคาร์ดิโอเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมัน
- ห้ามหยุดยาเอง ต้องปรึกษาแพทย์ นี่คือข้อที่สำคัญที่สุด ห้ามหยุดยาเองกะทันหันเด็ดขาด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะวางแผน “Taper off” คือการค่อยๆ ลดยาลงทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ไม่เกิดการ “หักดิบ” ซึ่งจะช่วยลดโอกาสโยโย่ได้อย่างมหาศาล
ผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้
แน่นอนว่ายาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ ปากกาลดน้ำหนักก็เช่นกัน แม้จะมีความปลอดภัยสูงภายใต้การดูแลของแพทย์ แต่ก็มีผลข้างเคียงที่อาจพบได้ ซึ่งผู้ใช้ควรทราบไว้ล่วงหน้า
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
ส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร และมักเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ที่เริ่มยา หรือช่วงที่ปรับเพิ่มโดสยา ซึ่งอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
- คลื่นไส้, อาเจียน (พบบ่อยที่สุด)
- ท้องผูก หรือ ท้องเสีย
- ท้องอืด, เรอ, ไม่สบายท้อง
- เบื่ออาหาร
ผลข้างเคียงที่รุนแรง (ต้องรีบพบแพทย์)
แม้จะพบได้น้อยมาก แต่หากมีอาการเหล่านี้ ต้องหยุดยาและรีบไปพบแพทย์ทันที
- อาการปวดท้องรุนแรง และปวดร้าวไปถึงหลัง (อาจเป็นสัญญาณของตับอ่อนอักเสบ)
- อาการแพ้ยา เช่น ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม
- อาการของนิ่วในถุงน้ำดี เช่น ปวดท้องส่วนบนด้านขวาอย่างรุนแรง, มีไข้
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือมีภาวะซึมเศร้า
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปากกาลดน้ำหนัก
ปากกาลดน้ำหนัก ซื้อใช้เองได้ไหม ต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้น?
คำตอบคือ “ไม่ได้เด็ดขาด” ปากกาลดน้ำหนักจัดเป็น “ยาควบคุมพิเศษ” ที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ห้ามซื้อใช้เองจากช่องทางออนไลน์เด็ดขาด เพราะก่อนเริ่มยา แพทย์จำเป็นต้องประเมินความเหมาะสมอย่างละเอียด ทั้งค่า BMI, โรคประจำตัว, ยาที่ทานอยู่ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันผลข้างเคียงรุนแรง การซื้อยาปลอมหรือยาที่ไม่ได้มาตรฐานมาใช้เองนั้นอันตรายถึงชีวิต
ต้องใช้ปากกาลดน้ำหนักนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และ “วินัย” ในการปฏิบัติตัวควบคู่กัน ทั้งการคุมอาหารและออกกำลังกาย โดยทั่วไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมักจะประเมินผลหลังจากใช้งานไปแล้วประมาณ 12-16 สัปดาห์ (3-4 เดือน) ว่าน้ำหนักลดลงได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ (เช่น ลดลงอย่างน้อย 5% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น) เพื่อพิจารณาว่าร่างกายตอบสนองต่อยาได้ดี และควรใช้ยาต่อหรือไม่
ปากกาลดน้ำหนัก ราคาเท่าไหร่?
เรื่องนี้ต้องบอกตามตรงว่าราคาจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคลินิกหรือโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของยา (เช่น Saxenda, Victoza หรือตัวอื่นๆ) และโปรโมชั่นในช่วงนั้นๆ โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายต่อแท่ง (ซึ่งอาจใช้ได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับโดสยาที่แพทย์ปรับ) จะอยู่ที่หลักพันบาท แนะนำให้ปรึกษาและสอบถามค่าใช้จ่ายจากสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือโดยตรงจะชัดเจนที่สุด

สรุปบทความ
สรุปแล้ว ปากกาลดน้ำหนัก ถือเป็น “เครื่องมือ” หรือ “ตัวช่วย” ที่ดีสำหรับผู้ที่มีข้อบ่งชี้ แต่หัวใจสำคัญของการลดน้ำหนักที่ยั่งยืน แม้จะหยุดยาไปแล้ว คือการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ทั้งการคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปเสมอ
สำหรับใครที่มีความกังวลเรื่องการควบคุมน้ำหนัก อยากได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจ ปลอดภัย และยั่งยืน สามารถปรึกษาได้ที่ S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับคนเมือง (Urban Wellness Clinic)พร้อมด้วยทีมแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน ซึ่งเรามีบริการลดน้ำหนักด้วย Hunger Reset Program โปรแกรม ลดความอยากอาหาร ด้วยเปปไทด์จัดการความหิว (GLP-1 และ GIP) แบบรายสัปดาห์
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล รวมถึงพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย การปรับเปลี่ยนนิสัย โดยทีมแพทย์จะดูแลคุณอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การประเมินร่างกาย หาสาเหตุของความอ้วน การใช้ยาอย่างถูกต้อง ไปจนถึงการวางแผนโภชนาการและโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายอื่นๆ เพื่อให้คุณบรรลุเป้าหมายและมีสุขภาพที่ดีจากภายใน
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
- สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
- สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
- สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
- สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
- สาขา สยาม – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392


