รู้จัก Winning Zone ในธุรกิจแฟรนไชส์

ในยุคที่มองไปทางไหนก็เจอแต่คู่แข่ง จะทำยังไงให้แบรนด์ของเราเด่นกว่าของคนอื่น ซึ่งก็มีหลายวิธีที่นักการตลาด สอนเป็นทฤษฏีให้เราได้นำไปใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ Winning Zone กลยุทธ์ที่ช่วยให้วิเคราะห์จุดแข็งและโอกาสในการชนะคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 3 องค์ประกอบหลักคือ

  1. สิ่งที่ลูกค้าต้องการ (What Customers Want)
  2. สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด (What We Do Best)
  3. สิ่งที่คู่แข่งทำได้ดีที่สุด (What Competitors Do Best)

รู้จัก Winning Zon

ซึ่งถ้าเรานำเอาทั้ง 3 องค์ประกอบนี้มาซ้อนทับกันในรูปแบบวงกลมจะเกิดเป็น 4 โซนย่อยๆ ได้แก่

  • Losing Zone เป็นโซนที่คู่แข่งทำได้ดีและลูกค้าชอบ ถ้าลงทุนสู้ในกลุ่มนี้อาจแพ้ง่ายๆ เช่นถ้าเปิดร้านไก่ทอดก็อย่าไปท้าสู้กับแบรนด์ใหญ่อย่าง KFC หรือ McDonald’s เด็ดขาด
  • Winning Zone เป็นโซนที่เราถนัดที่สุด สิ่งที่เรามีดีกว่าของคู่แข่ง และตรงนี้คือจุดที่เราควรทุ่มเทลงทุน
  • Dump Zone โซนที่ใครก็ไม่ต้องการ ลูกค้าก็ไม่สนใจ แนะนำว่าให้ทิ้งโซนนี้ไปได้เลย
  • Risky Zone หรือ Danger Zone โซนที่ลูกค้าต้องการ ทั้งเราและคู่แข่งทำได้ดีเหมือนกัน การแข่งขันสูงและอาจนำไปสู่สงครามราคา (Price War) เหมือนตัวอย่างในหนังดังอย่าง “สงครามส่งด่วน” ที่เพิ่ง

ถ้าถามว่าแล้ว “Winning Zone” จะนำไปใช้ในการทำแฟรนไชส์ได้อย่างไร วิธีการก็ต้องเริ่มจากสำรวจตัวเองก่อนว่าสินค้าเราคืออะไร จุดเด่นตรงไหนของเราที่ดีกว่าคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น ทำแฟรนไชส์ร้านชานมไข่มุก ซึ่งทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เจอ ถ้านำเอา Winning Zone มาใช้ จะมีลักษณะดังนี้

ธุรกิจ : แฟรนไชส์ร้านชานมไข่มุก

ชมงาน TFBO 2025

วิเคราะห์แบบ Winning Zone

  • สิ่งที่ลูกค้าต้องการ (What Customers Want) – เครื่องดื่มรสชาติอร่อย
  • สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด (What We Do Best) – ชาไทยที่รสชาติอร่อยมากเพราะมีสูตรลับของตัวเอง
  • สิ่งที่คู่แข่งทำได้ดีที่สุด (What Competitors Do Best) – การให้บริการด้วยสาขาที่มีจำนวนมาก

ซึ่งถ้าพิจารณาต่อไปถึงวงกลมย่อยที่เป็น Winning Zone แสดงว่าเราต้องพัฒนาสูตรชาไทยของเราให้โดดเด่น เพราะตรงนี้เรามั่นใจว่าดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งต้องไปคิดเพิ่มว่าจะทำให้น่าสนใจได้อย่างไร เช่นใช้ไข่มุกเม็ดจิ๋ว , หรือทำแพ็กเกจจิ้งที่ไม่ซ้ำใครในตลาด เป็นต้น

สมมุมติว่าเราสร้างแบรนด์เครื่องดื่มที่เด่นและแตกต่างจากคู่แข่งได้ จะนำมาซึ่งประโยชน์ในอีกหลายด้าน เช่น

  • สร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้แบรนด์ เพราะสินค้าใดก็ตามที่ต่างออกไปมักทำให้ลูกค้าสนใจได้มากเสมอ ยิ่งในตลาดที่มีสินค้าเหมือนกันเยอะมาก ความแตกต่างนี้จะทำให้เราไม่ต้องแข่งขันในเรื่องราคา เพราะจุดขายของเรานั้นชัดเจน
  • สร้างการรับรู้ ให้คนจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ยิ่งทำให้แบรนด์ โดดเด่น ชัดเจน ย่อมทำให้ลูกค้ารู้จัก และจดจำแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
  • ทำให้แบรนด์รู้ว่าควรสื่อสารไปยังผู้บริโภคอย่างไร เมื่อแบรนด์รู้ว่าจุดยืนของตัวเองคืออะไร ก็จะทำให้แบรนด์สื่อสารไปยังลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น

รู้จัก Winning Zone

เรื่องของ Winning Zone เป็นแนวคิดพื้นฐานของการทำธุรกิจที่มีการนำไปใช้อย่างได้ผล หลายแบรนด์สามารถสร้าง Winning Zone ของตัวเองได้ชัดเจนจนนำมาซึ่งยอดขายที่ดียกตัวอย่างที่ชัดเจนสุดคือ “โทฟุซัง” ที่จับเอาสินค้าทั่วไปอย่างน้ำเต้าหู้ มาผลิตเป็นสินค้า

และหาสิ่งที่ยังไม่มีในตลาดคือ “การพาสเจอร์ไรซ์” จึงได้นำสิ่งนี้มาเป็นจุดขาย และทำให้เกิดความแตกต่าง และส่งผลให้ยอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดด หรืออีกหลายธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเพราะหา Winning Zone ของตัวเองเจอก็ เช่น

  • Krispy Kreme – ใช้ความสดใหม่ของโดนัทที่ทำให้ลูกค้าเห็นการผลิตได้เป็นจุดขาย
  • After You – แตกต่างด้วยประสบการณ์ของของหวานที่พรีเมียมและเสิร์ฟแบบอบอุ่น

หรือแม้แต่สินค้าอย่างเช่นยาสีฟันที่ดูเหมือนๆกันไปหมด แต่ละแบรนด์ต่างก็สรรหา Winning Zone ของตัวเองเพื่อมาสื่อสารกับลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น

  • ยาสีฟัน Colgate เน้นเรื่องป้องกันฟันผุ
  • ยาสีฟัน Sensodyne เน้นเรื่องรักษาเหงือกแข็งแรง
  • ยาสีฟันใกล้ชิด เน้นในเรื่องของลมหายใจหอมสดชื่น เป็นต้น

การรับรู้ของลูกค้าที่แตกต่างกันในแต่ละแบรนด์ก็นำมาสู่การสร้างยอดขายที่ดี ดังนั้นการหา Winning Zone จึงจำเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่การทำแฟรนไชส์แต่สำคัญในทุกธุรกิจ การมี Winning Zone ที่ชัดเจนจะทำให้แบรนด์ยืนหนึ่ง มีจุดแข็งที่ดึงดูดนักลงทุนต่อยอดธุรกิจให้เติบโตจนประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise

อ้างอิงจาก คลิกที่นี่


สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด