ระเบิดเวลา! ประชากรไทย ตายมากกว่าเกิด
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอัตราการตายที่สูงกว่าอัตราการเกิดกำลังทำให้ประชากรรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสังคม แต่ยังเป็น “ระเบิดเวลา” ทางเศรษฐกิจที่อาจนำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจอย่างถาวร
จุดเริ่มต้นของวิกฤตประชากรไทย

ปัญหาวิกฤติตายมากกว่าเกิดในประเทศไทยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สะสมมานานหลายทศวรรษ เริ่มชัดเจนตั้งแต่ช่วงปี 2514 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของจำนวนการเกิดที่ 1.2 ล้านคนต่อปี จากนั้นอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate: TFR) ลดลงจาก 3.1 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 2493 เหลือเพียง 1.3 ในปี 2564 และต่ำลงเหลือ 1.1 ในปี 2566
สาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดที่ทันสมัย การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร การแข่งขันในที่ทำงาน และการเลื่อนการแต่งงานหรือเลือกไม่แต่งงานของคนรุ่นใหม่
ตอกย้ำความชัดเจนของเรื่องนี้ด้วยข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยในปี 2567 พบว่า ประชากรไทยรวม 65,951,179 คน มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 571,646 คน ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ (อัตราการเกิด – อัตราการเสียชีวิต) อยู่ที่ -0.17% ติดลบ 4 ปีติดต่อกัน หรือถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาก็จะยิ่งเห็นตัวเลขชัดเจนขึ้น
ส่วนในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการเกิดประมาณ 450,000 คน ขณะที่การตายสูงถึง 580,000 คน ส่งผลให้มีตัวเลขการขาดดุลประชากรสุทธิกว่า 130,000 คน แน่นอนว่าอัตราการเกิดและตายที่ไม่สมดุลกันนี้มีผลโดยตรงต่อประชากรโดยรวม ที่ลดจาก 1 ล้านคนในปี 2566 เหลือต่ำกว่า 66 ล้านคนในปี 2567 และคาดว่าจะเหลือ 66.19 ล้านคนในปี 2568
วิเคราะห์ปัญหาทำไมคนไทย “ตายมากกว่าเกิด”

วิกฤตินี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม และนโยบายภาครัฐ ซึ่งรวมกันทำให้อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการตายเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายด้านได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลื่อนการแต่งงานเลือกที่จะไม่แต่งงาน ส่งผลให้อัตราการสมรสลดลง 20% ในปี 2567
- ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่สูงมาก ประมาณการว่าค่าเลี้ยงดูเด็กจนถึงอายุ 18 ปีในเมืองใหญ่เฉลี่ย 5-7 ล้านบาท ทำให้หลายครอบครัวตัดสินใจมีลูกน้อยลงหรือไม่มีเลย
- การเน้นความเป็นครอบครัวขนาดเล็ก สะท้อนได้จากครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีลดลงจาก 30% ในปี 2543 เหลือ 15% ในปี 2567
- ทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จส่วนบุคคลและอิสรภาพ มองว่าการมีบุตรเป็นภาระมากกว่าความสุข
- บทบาทสตรีในสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้นและเข้าร่วมตลาดแรงงานมากขึ้น โดยสัดส่วนผู้หญิงวัยทำงานเพิ่มจาก 30% ในปี 2520 เป็น 45% ในปี 2567 ทำให้การมีบุตรกลายเป็นทางเลือกที่รองลงมา
- ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้อัตราการเกิดลดลงรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความกังวลด้านสุขภาพ ข้อมูลระบุว่าอัตราการเกิดในช่วงโควิดลดลง 81% จากจุดสูงสุดในรอบ 74 ปี
- ปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มีผลทำให้อัตราการมีบุตรยาก (infertility) เพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากความเครียด และมลพิษต่างๆ เช่น ฝุ่น PM2.5 ส่งผลต่อการตัดสินใจมีบุตร เนื่องจากความกังวลต่อสุขภาพเด็ก
วิกฤติซ้ำ! การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี พ.ศ. 2565 เพราะว่ามีประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด
และการสำรวจในปี 2568 พบว่ามีผู้สูงอายุคิดเป็น 20.70% หรือประมาณ 13.7 ล้านคนจากประชากรโดยรวม เพิ่มจาก 14% ในปี 2559
และคาดว่าจะถึง 30% ในปี 2573 การเพิ่มขึ้นนี้ทำให้จำนวนการตายสูงขึ้น โดยในปี 2567 มีการตาย 571,646 คน เทียบกับการเกิดที่มีเพียง 462,240 คน
และคาดว่าภายในปี 2576 หรืออีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุถึง 28% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด และหากตัวเลขนี้ยังดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง
คาดว่าประชากรไทยจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือราว 33 ล้านคนภายในปี 2626 โดยสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 18 ล้านคน ขณะที่วัยเด็ก 0-14 ปี ลดเหลือ 1 ล้านคน อัตราการเติบโต GDP อาจต่ำกว่า 2% ต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และเสี่ยงต่อการล้มละลายทางการคลัง (fiscal collapse) จากภาระสวัสดิการที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดีปัญหา “สังคมผู้สูงวัย” ที่มีผลต่อเนื่องในเรื่องตายมากกว่าเกิดก็ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญในอีกหลายประเทศก็เจอปัญหานี้ไม่ต่างกัน รายงาน Population in Brief 2025 ของรัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พลเมืองอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 20.7% ของทั้งหมด เพิ่มจาก 19.9% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 13.1% เมื่อปี 2015
และคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 23.9% ภายในปี 2030 และหากเทียบทั่วเอเชีย ‘ญี่ปุ่น’ มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดที่ 30% ของประชากร ตามด้วย ‘ฮ่องกง’ ที่ 23% ส่วน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ และ ‘อินเดีย’ มีสัดส่วน 15% และ 7% ตามลำดับ ตามฐานข้อมูลของธนาคารโลก
คนเกิดน้อย แต่ตายเยอะมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร?

ปัจจุบันนี้สัดส่วนประชากรไทยกลายเป็นพีระมิดกลับหัว แตกต่างอย่างสิ้นเชิงถ้าเทียบกับปี 2529 ที่ตอนนั้นพีระมิดประชากรยังเป็นแบบฐานกว้าง เด็กเกิดใหม่เยอะ แรงงานเพิ่มเร็ว แต่ในยุคนี้ คนเกิดน้อย ผู้สูงอายุเพิ่มเร็ว ส่งผลให้แรงงานเริ่มหดตัว
และวิกฤตินี้จะส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการขาดแคลนแรงงานและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า (2568-2578) ปัญหาที่จะพบคือ
- ขาดแคลนแรงงาน จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน อายุ 20-24 ปี ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากรที่ออกจากวัยแรงงานอายุ 60-64 ปีได้ ส่งผลให้ผลิตผลของประเทศลดลง รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง และต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น
- ภาวะพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น โดยวัยทำงาน 2 คน ต้องแบกรับผู้สูงอายุ 1 คน ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่าอัตราส่วนการพึ่งพิงรวมของไทยล่าสุดปี 2024 อยู่ที่ 43.09% เพิ่มขึ้นจาก 42.47% ในปี 2023
- GDP จะเติบโตช้าลง ประมาณ 1-2% ต่อปี และค่าแรงสูงขึ้น 20-30% สวนทางกับผลผลิตในภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างชัดเจนจากปัญหามีวัยแรงงานเหลือน้อย
- ภาระงบประมาณภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงบสวัสดิการผู้สูงอายุ เช่น เบี้ยยังชีพ–บำนาญ–ค่ารักษาพยาบาล มีโอกาสพุ่งสูงต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะเพิ่มจาก 5% เป็น 11% ของ GDP ภายในปี 2060
- การบริโภคลดลง เพราะกลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มออมมากกว่าใช้จ่าย ทำให้การบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลักของไทยหดตัว โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับเด็กและครอบครัว
- นำไปสู่การล่มสลายของประชากร (Population Collapse) ครอบครัวจะมีความเปราะบาง ระบบสวัสดิการสังคมจะแบกรับไม่ไหว และอนาคตของทุกคนจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง
- ธุรกิจสูญเสียความสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาค เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีประชากรวัยหนุ่มสาวมากกว่า ส่งผลให้การลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้น
นอกจากภาคการผลิตที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้โดยตรง อีกหลายธุรกิจก็มีความเสี่ยงในระดับสูงเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจด้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค
เมื่อกำลังซื้อจากวัยทำงานลดลง สินค้าฟุ่มเฟือยขายไม่ออก เราอาจเห็นแบรนด์เสื้อผ้า / เครื่องสำอาง ยอดขายหล่นวูบประมาณ 20-30% หรือแม้แต่ธุรกิจการศึกษาก็น่าเป็นห่วง เนื่องจากจำนวนเด็กและวัยรุ่นที่ลดลง มีโอกาสที่นักเรียนนักศึกษาจะน้อยลง 30-50% ในอนาคต

เราอาจได้เห็นภาพของโรงเรียนเอกชน / มหาวิทยาลัยปิดตัวหลายแห่ง แต่ที่อาจจะหนักมากๆ ก็สินค้าในกลุ่มเกี่ยวกับเด็กและผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เพราะปัญหาอัตราการเกิดต่ำ จะส่งผลให้ยอดขายลดลงกว่า 40-50% ธุรกิจนมผง ของเล่น เสื้อผ้าเด็ก อาจจะต้องถึงขั้นปิดกิจการ
อย่างไรก็ดีในวิกฤตินี้ก็อาจจะยังมีมุมที่เป็นด้านบวกอยู่บ้าง การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุอาจเป็นโอกาสเติบโตของ “เศรษฐกิจสีเงิน” (silver economy) เช่น ธุรกิจการแพทย์ สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 15% ต่อปี โดยไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคนี้
มาตรการภาครัฐสำหรับการแก้ไขวิกฤติ
สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องเด็กเกิดน้อย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอแนวทาง “ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ” เป็นวาระแห่งชาติ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ
กำหนดเป้าหมายอัตราการเจริญพันธุ์รวมภายในปี 2570 อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 1 และภายในปี 2585 ไม่น้อยกว่า 1.0-1.5 รวมถึงความพยายามในการแก้ไขปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ,Family Friendly Workplace ,ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแล และเลี้ยงบุตร ,สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 0-2 ปี
นอกจากนี้ยังเน้นให้ประชากรที่เกิดใหม่เป็นบุคคลที่มีคุณภาพซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิด “Happy Child-Happy Family-Happy Community” ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤติคนตายมากกว่าเกิดไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แต่คือปัญหาระดับชาติที่จะกระทบไปทุกภาคส่วน ประเทศไทยจำเป็นต้องตื่นตัวก่อนที่วิกฤตนี้จะกลายเป็น “ยาพิษ” ทางเศรษฐกิจ
หากปรับตัวได้ทัน และแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่ถ้านิ่งเฉยหรือไม่แก้ไขจริงจังเรื่องนี้จะกลายเป็นระเบิดแบบตั้งเวลา เมื่อนับถอยหลังถึงวินาทีสุดท้ายเมื่อไหร่ ทั้งเศรษฐกิจและประเทศจะพังทลายพร้อมกันทั้งหมด
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
- อยากสร้างแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Ive14C
- อยากทำเป็นแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3IrrH0k
- รู้เรื่องกฎหมาย สัญญาแฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Iu5WNu
- รวมความรู้แฟรนไชส์ > https://bit.ly/3Pe0m5s
อ้างอิงจาก คลิกที่นี่
สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น
ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี
ลักษณะงาน
- เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
- ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
- มอบหมายงานและติดตามงาน
- อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ
1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้
- ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
- ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
- การปฏิบัติงาน
- เป้าหมายในอนาคต
2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ
- การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
- การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
- การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
- การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)
3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)
- การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
- สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
- กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
- มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม
4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
- แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
- แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์
5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์
- รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
- ปรับปรุงแก้ไข
- พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง
การปฎิบัติงาน
- สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
- ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา
เงื่อนไขอื่นๆ
- การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์
อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้
สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)




