รวม 5 เทคนิคจัดการ “หนี้”

ไม่มีใครที่อยากเป็นหนี้แต่ การเป็นหนี้ บางทีก็หมายถึงการอยู่รอดของครอบครัว เมื่อใดก็ตามที่รายรับน้อยกว่ารายจ่าย ไม่มีรายได้มาหมุนเวียนทางออกที่ดีที่สุดคือ “เป็นหนี้” จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าครอบครัวคนไทยเป็นหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยครอบครัวละประมาณ 340,000 บาท เป็นหนี้ในระบบประมาณ 60% หนี้นอกระบบประมาณ 40

และยิ่งหนักขึ้นเมื่อมีการแพร่ระบาดของ COVID 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ทำให้คนไทยเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุยังน้อย (อายุไม่เกิน30) กลุ่มคนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานภาพการเป็นลูกหนี้ถึง 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล

และจากมาตรการของภาครัฐสารพัดวิธี ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นในระยะยาว ไม่ว่าจะเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สารพัดโครงการเยียวยา ก็แค่ทำให้คนส่วนใหญ่อยู่รอดไปวันๆ แต่ก็ยังเป็น “หนี้” เหมือนเดิม

ด้วยเหตุนี้ www.ThaiSMEsCenter.com จึงคิดว่าเราควรหาวิธี “จัดการหนี้” แต่ก็ ไม่มีสูตรการปลดหนี้ที่ไหนบอกว่าหาเงินได้เท่าไหร่ให้เอาไปใช้หนี้ให้หมด อันที่จริงมีวิธีจัดการหนี้มากมาย ถ้าไม่หมดหนี้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้หนี้ที่มีอยู่น้อยลงกว่าเดิมได้

ประเภทของหนี้

1.หนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวและก่อนให้เกิดภาระทางการเงิน

43

ภาพจาก pixabay.com

พูดง่ายๆก็คือหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะเราอยากได้โน้นนี่ เช่น มีเงินเดือน 20,000 ซื้อของที่อยากได้ซะ 50,000 จนทำให้รายจ่ายมากกว่ารายรับและนำเงินอนาคตมาใช้ ใช้บัตรเครดิตมาผ่อน ทำให้เกิดภาระทางการเงินและต้องจ่ายดอกเบี้ยจนหนี้ท่วม

2.หนี้ที่เกิดประโยชน์ในอนาคต

42

ภาพจาก pixabay.com

เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ว่าหนี้ประเภทนี้เกิดจากอะไร ใช่แล้ว! ก็เช่น ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อที่ดิน หรือบางทีซื้อรถเพื่อใช้ประโยชน์ก็คือหนี้ที่อาจจะต้องจ่ายแต่สิ่งที่ได้คืนมาคือหลักประกันในอนาคตที่มั่นคงขึ้น

ก่อนที่จะไปวางแผนชำระและจัดการหนี้ เราต้องรวบรวมข้อมูล “หนี้สิน” ตัวเองทั้งหมดก่อนว่าเป็นหนี้แบบไหน อย่างไร เท่าไหร่ ถ้าเป็นหนี้ที่สร้างรายได้และความมั่นคงในในอนาคตเรียกว่า “หนี้ดี” แต่ถ้าเป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้และเป็นภาะระที่ต้องชดใช้เรียกว่า “หนี้เสีย”

รวม 5 วิธีจัดการหนี้

41

ภาพจาก pixabay.com

1.จัดการหนี้ดอกเบี้ยสูงก่อน

แม้ว่าหนี้ทุกอย่างจะมีความจำเป็น และมีระยะเวลาในการชดใช้ เราต้องมาบริหารจัดการก่อนว่า หนี้ก่อนไหนที่โหดสุด ดอกเบี้ยแพง ถ้าเลือกได้ควรใช้หนี้ที่ยากที่สุดก่อน อาจจะพักชำระหนี้ในส่วนอื่นเอาไว้ (ถ้าทำได้) แล้วหันมาโฟกัสใช้หนี้ดอกเบี้ยแพงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

2.กู้หนี้ใหม่มาปิดหนี้เก่า

วิธีนี้ก็ยังทำให้เราเป็นหนี้เหมือนเดิมเพียงแค่เปลี่ยนเจ้าหนี้ แต่ข้อดีของการกู้หนี้ใหม่มาปิดหนี้เก่า โดยเฉพาะถ้าได้เงินกู้จากสถาบันการเงินที่อัตราดอกเบี้ยแตกต่างกัน เราต้องแน่ใจว่าดอกเบี้ยใหม่ที่เราเสียนั้นน้อยกว่าดอกเบี้ยจากเงินกู้เดิมที่เรามีอยู่ เช่น เป็นหนี้นอกระบบ 100,000 จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือน เท่ากับเราต้องส่งดอกเบี้ยรายเดือนละเป็นหมื่น แต่ถ้าเรากู้จากธนาคารมาได้อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4-5% ก็เท่ากับเราเสียดอกเบี้ยน้อยลงและมีเงินหมุนเวียนให้ใช้มากขึ้น ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เอาไปใช้ได้แต่ต้องคำนวณให้ดีก่อนตัดสินใจ

40

ภาพจาก pixabay.com

3.ติดต่อประนอมหนี้กับสถาบันการเงิน

เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องอย่ากลัวที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การเลือกเข้าไปคุยกับธนาคารจึงถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อขอประนอมหนี้ และทำการตกลงกับทางธนาคารในการปลดหนี้ที่มีทั้งหมดใหม่ เช่น การขอปรับลดดอกเบี้ยชั่วคราว, การขอจ่ายแค่ดอกเบี้ยชั่วคราว, การขอหยุดชำระหนี้ชั่วคราว ฯลฯ เพื่อเป็นการคืนสภาพคล่องทางการเงินและตั้งหลักได้ง่ายขึ้น

4.ขายสินทรัพย์บางอย่างเพื่อปิดหนี้

ในกรณีที่เราพอจะมีสินทรัพย์เช่นที่ดิน คอนโด ทองคำ รถยนต์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงมาเป็นเงินสดเพื่อใช้หนี้ได้ หลายคนอาจมองว่าการทำแบบนี้สุดท้ายเราก็จะเหลือแต่ตัวเปล่าๆ แต่ถ้าเรารู้จักบริหารจัดการสินทรัพย์ในการขายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียนใช้หนี้ เราก็ยังมีโอกาสที่จะกลับไปซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ได้ แต่ถ้าเรายังเป็นหนี้ โอกาสที่เราจะขยายสินทรัพย์ให้มากขึ้นก็เป็นไปได้ยาก แม้จะเป็นวิธีที่ดูจะรุนแรงแต่บางครั้งเราต้องชั่งใจและมองผลกระทบให้ดี ถ้าเราบริหารจัดการดีวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลในระดับหนึ่งเช่นกัน

39

ภาพจาก pixabay.com

5.จ่ายเงินต่องวดให้มากขึ้นเพื่อ “ลดต้นลดดอก”

ในกรณีของคนที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินเช่นการกู้ซื้อบ้าน บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล วิธี้นี้ใช้ได้ผลมาก เพราะวงเงินเหล่านี้ มีการคำนวณดอกเบี้ยแบบ “ลดต้นลดดอก” โดยดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายอิงจากยอดเงินต้นคงเหลือในงวดก่อนหน้า ซึ่งหากมียอดคงเหลือเยอะ เงินค่างวดที่ผ่อนแต่ละเดือนจะถูกหักไปจ่ายดอกเบี้ยเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เหลือจึงนำไปลดเงินต้น ยกตัวอย่าง สินเชื่อบ้านวงเงิน 1 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี

พบว่าหากเพิ่มยอดการผ่อนอีกเดือนละ 10% จากยอดขั้นต่ำ เช่น กำหนดให้ชำระขั้นต่ำ 5,000 บาท ผู้กู้ผ่อนชำระจริงที่ 5,500 บาท จะทำให้ลดระยะเวลาการผ่อนลงจาก 30 ปี เหลือ 25 ปี และภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยรวมที่อาจสูงถึง 9.3 แสนบาทจะลดลงมาที่ 7.5 แสนบาท และหากเพิ่มยอดการผ่อนอีกเดือนละ 20% จากยอดขั้นต่ำ จะทำให้สามารถปลดหนี้ได้ภายใน 20 ปีเศษ และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงเหลือราว 6.3 แสนบาทเท่านั้น

การเป็นหนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี และคนเป็นหนี้ก็ต้องรู้สึกทุกข์ใจที่ต้องมาใช้หนี้ แต่ก่อนที่จะเป็นหนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นความคิดของเราเองที่ไป “กู้เงิน” เพื่อนำมาใช้ในลักษณะต่างๆ ซึ่งเราต้องยอมรับในจุดนี้ที่ต้องบริหารการเงินในการใช้คืนให้ดี ต้องคำนวณแล้วว่า เงินที่กู้มาเราจะใช้คืนได้ทัน และไม่เป็นภาระกับเรามากเกิน คำว่ากู้ง่ายคืนยาก คือคำที่เหมาะกับคนที่ทำอะไรแบบไม่คิด คิดแต่จะกู้ กู้ และกู้ โดยไม่ประเมินกำลังในการใช้คืนของตัวเองให้ดี

ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3qufPjs , https://bit.ly/2LWSc45 , https://bit.ly/3u8Ak7x , https://bit.ly/3jYT1pQ , https://bit.ly/3qnUaJW , https://bit.ly/2Zkfynj

อ้างอิงจาก https://bit.ly/3r8lgFd

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจ แฟรนไชส์ และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


8 ขั้นตอน การพัฒนาระบบแฟรนไชส์

1. การวางแผนธุรกิจ ก่อนทำแฟรนไชส์

  • กำหนดรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ให้มีความชัดเจน โดนใจลูกค้า
  • ชื่อกิจการ (Brand)
  • การสร้างผลการดำเนินธุรกิจที่ดี ได้ผลกำไร มีความมั่นคง (Good ROI)
  • การสร้างแบรนด์ ตราสินค้า ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักผู้บริโภค
  • การพัฒนาสินค้าบริการ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน
  • การพัฒนาระบบบริการจัดการ จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • วางโครงสร้างองค์กรใหม่ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน สนับสนุนระบบแฟรนไชส์
  • การวางแผน และกำหนดเป้าหมายการขยายธุรกิจ การขยายสาขา ทั้งในและต่างประเทศ
  • การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ ทำเลที่ตั้ง และรูปแบบของร้านค้า
  • การเลือกใช้สื่อต่างๆ ช่องทางต่างๆ ในการจัดกิจกรรม เพื่อสร้างแบรนด์แฟรนไชส์

2. การรวบรวมข้อมูลธุรกิจ

  • ระบบการปฏิบัติงาน วิธีการบริหารจัดการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ระบบการเงิน การบัญชี
  • งบประมาณในการลงทุนธุรกิจ การขยายสาขา
  • รูปแบบของร้านค้า รูปแบบของตราสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์
  • ระบบการสต็อกสินค้า จัดส่งสินค้า วัตถุดิบ
  • แผนงานการตลาด การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • กระบวนการพัฒนาบุคลากร ทีมงานด้านต่างๆ

3. การวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • ธุรกิจเปิดมานานหลายปี จำนวนไม่น้อยกว่า 1สาขา
  • แบรนด์มีชื่อเสียงได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง
  • สินค้าและบริการ มีคุณภาพมาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด
  • เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มีผลกำไร ต่อเนื่อง เป็นที่น่าพอใจ
  • มีระบบการทำงาน การปฏิบัติงาน แผนการทำงานที่ชัดเจน สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นได้
  • มีระบบการพัฒนาบุคลากร และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เป็นมาตรฐาน
  • ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การส่งเสริมการขายต่างๆ
  • แผนกลยุทธ์การขยายสาขา และเติบโตต่อเนื่อง เป็นรายเดือน หรือ รายปี

4. การวางโครงสร้างของระบบแฟรนไชส์

  • กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค
  • การสร้างองค์ความรู้ ระบบปฏิบัติงานต่างๆ ที่พร้อมถ่ายทอดให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • วางระบบการปฏิบัติงานของแต่ละขั้นตอนธุรกิจ ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย แต่ละแผนกให้ชัดเจน รวมถึงขั้นตอนการอบรม ระบบตรวจสอบ เพื่อสร้างมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์
  • สร้างระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซี หรือผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • การกำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้า (ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์)
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์ช่วงเริ่มต้นได้
  • เงื่อนไขการเปิดสาขาในด้านต่างๆ

5. การวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายแฟรนไชส์
  • ระบบการเงิน
  • ค่าธรรมเนียมต่างๆ
  • ข้อเสนอแฟรนไชส์ซี
  • การจดทะเบียนแฟรนไชส์
  • เรื่องกฎหมาย อายุสัญญาแฟรนไชส์
  • ระบบปฏิบัติงาน รูปแบบการให้สิทธิ
  • การตลาด การโฆษณาประชาสัมพันธ์
  • แพ็คเกจต่างๆ ระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีอย่างต่อเนื่อง
  • การจัดทำคู่มือแฟรนไชส์ หรือโปรแกรมแฟรนไชส์
  • การจัดทำสัญญาแฟรนไชส์ รวมถึงเครื่องหมายการค้า

6. การวางแผนเพื่อขยายสาขาธุรกิจแฟรนไชส์

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ เจ้าของแฟรนไชส์จะบริหารจัดการเองทุกอย่าง เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความเด่นชัดให้แก่นักลงทุน ได้เห็นภาพของร้านที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนเปิดสาขาแฟรนไชส์ในภายหลัง
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟนไชส์ คือ เมื่อสาขาแรกมีความแข็งแกร่ง มั่นคง มีผลกำไรต่อเนื่อง เป็นที่ยอมรับของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แล้ว ก็ทดลองขยายสาขาเพิ่มอีก เพื่อทดสอบสาขาที่ 2 เป็นอย่างไร โดยนำเอาระบบการปฏิบัติงานทุกอย่างของร้านสาขาแรกมาปฏิบัติ ถ้าประสบความสำเร็จ ก็ค่อยขยายสาขาตัวเองเพิ่มอีก 2-3 สาขา ถ้าประสบความสำเร็จเหมือนสาขาแรก ก็ค่อยคิดขายแฟรนไชส์ให้กับคนอื่น

7. กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ระบบการบริหารจัดการในร้าน ขั้นตอนการปฏิบัติงาน)วิเคราะห์ระบบการเงิน การลงทุน ในแต่ละสาขาที่เปิดทดลอง
  • พิจารณาปรับปรุงระบบงาน ระบบการทำงานต่างๆ ให้เหมาะสม
  • ระบบการพัฒนาทีมงานรองรับการขยายงาน ขยายสาขา
  • การวางแผนงานขยายสาขาแฟรนไชส์
  • เก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ กลุ่มลูกค้า ผลประกอบการ การดำเนินงาน ของสาขาแรก หรือสาขาต้นแบบ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ก่อนเปิดสาขาที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และขายแฟรนไชส์
  • จัดวางงบประมาณ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการขยายธุรกิจแฟรนไชส์

8. แผนการตลาดของธุรกิจแฟรนไชส์

  • การจัดทำคู่มือต่างๆ เพื่อแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์
  • กระบวนการขายแฟรนไชส์ การคัดเลือกผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • กระบวนการติดตามลูกค้าเป้าหมาย
  • การนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ในงานแสดงธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • การจัดงาน สัมมนาการขายธุรกิจ แฟรนไชส์
  • การเปิดเยี่ยมชมธุรกิจ ร้านต้นแบบแฟรนไชส์
  • กระบวนการคัดเลือกแฟรนไชส์ซีที่เหมาะสม ตามหลักมาตรฐานแฟรนไชส์สากล
  • กระบวนการถ่ายทอดความรู้ การอบรม และให้คำปรึกษาแก่แฟรนไชส์ซี

สำหรับคนที่อยากเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ แนะนำเข้ารับคำปรึกษาผ่านหน่วยงาน ที่น่าเชื่อถือ เช่น

ไทยแฟรนไชส์ คอนซัลแทนซี่ (ThaiFranchise Consultancy)เป็นหน่วยงานภายใต้กำกับของไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ยินดีให้คำปรึกษาในทุกกระบวนการสร้างระบบแฟรนไชส์ ทางบริษัทฯ มีอาจารย์และทีมงานที่พร้อมให้บริการ คอยให้คำแนะนำ และร่วมค้นหาคำตอบจากประสบการณ์บนเส้นทางของธุรกิจแฟรนไชส์ไทย มายาวนานกว่า 14 ปี

ลักษณะงาน

  • เน้นการทำงานร่วมกับทีมงานของบริษัท
  • ให้แนวทางในการทำงานในทุกๆ ด้าน
  • มอบหมายงานและติดตามงาน
  • อื่นๆ ทุกด้านที่เกี่ยวข้องในการดำเนินธุรกิจ

1. วิเคราะห์ธุรกิจปัจจุบันเบื้องต้น หัวข้อดังนี้

  • ลักษณะธุรกิจในปัจจุบัน
  • ผลการดำเนินงานของธุรกิจ
  • การปฏิบัติงาน
  • เป้าหมายในอนาคต

2. กลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจ

  • การสร้างแนวคิดธุรกิจ (Business Concept)
  • การกำหนดเป้าหมาย (Business Objective)
  • การจำลองงบกำไร-ขาดทุน (Profit-Loss)
  • การพัฒนาในด้านต่างๆ (Development Plan)

3. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Operation Plan)

  • การวางแผนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงาน
  • สร้างคู่มือการทำงานแต่ละฝ่าย
  • กำหนดเงื่อนไขในด้านต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าสิทธิ์ รูปแบบร้าน ทำเล การให้สิทธิต่างๆ แก่ผู้ซื้อแฟรนไชส์
  • มีโครงสร้างทีมงานที่เหมาะสม

4. กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ

  • แผนการขยายสาขาของบริษัท หรือ ร้านสาขาต้นแบบ
  • แผนการทดสอบขยายสาขาแฟรนไชส์

5. ขั้นตอนการพัฒนาระบบแฟรนไชส์

  • รวบรวมปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
  • ดูผลประกอบการ การดำเนินของร้านแฟรนไชส์จำลอง หรือร้านต้นแบบ
  • ปรับปรุงแก้ไข
  • พัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ อย่างไม่หยุดยั้ง

การปฎิบัติงาน

  1. สัปดาห์ละ 1 คาบเวลา (ประมาณ 3-4 ชม.)
  2. ติดต่อปรึกษางานได้ตลอดเวลา

เงื่อนไขอื่นๆ

  • การ Consult ไม่รับกลุ่มเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกันและรับไม่เกิน 5 แบรนด์

อนึ่ง รายละเอียดและขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการรับคำปรึกษา อาจมีนอกเหนือจากแผนงานดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบแผนโครงสร้างของธุรกิจเดิม และเป้าหมายที่กำหนดไว้ 

สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-1019187
ฝ่ายที่ปรึกษาโครงการ (ThaiFranchise Consultancy)

 

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)

เรียนจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ทำงานในด้านวารสารมากว่า10ปี สะสมความรู้หลากหลายแนวทั้งด้านการเกษตร สังคม สู่การประยุกต์เป็นอาชีพทั้ง SMEs และแฟรนไชส์รวมถึงแนวทางด้านกลยุทธ์การตลาดต่างๆ การเขียนคืองานที่เราตั้งใจและใจรักมากที่สุด